เรามักจะยกย่องชื่นชม “คนที่พูดเก่ง” ว่าเป็น “นักพูด” แต่น้อยครั้งนักที่จะได้ยินการชื่นชมคนที่ “ฟังอย่างใส่ใจ” ว่าเป็น “นักฟัง”
เรามีหลักสูตร “สร้างนักพูด” (รวมถึงนักเทศน์) ที่ใช้อบรมกันมากมาย แต่เราไม่ค่อยได้ยินถึงเรื่องหลักสูตร “นักฟัง” หรือการอบรมให้เรารู้จักการฟังที่มีประสิทธิภาพ?
คริสต์ชนจำนวนมากชอบในการอธิษฐานแต่ไม่เคย “สงบปากสงบคำ” ที่จะเงียบเพื่อจะฟังพระเจ้าตอบ แล้วก็มักบ่นว่า พระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานของตน
นักพูดที่แท้จริงมิใช่ผู้พูดที่ “พูดเก่ง” หรือ “พูดฟังสนุก ตลก” แต่เป็นนักพูดที่ “พูดได้สาระ” พูดแล้วเสริมสร้างกำลังใจ เกิดแรงกระตุ้นหนุนใจคนฟังให้เกิดพลังที่จะก้าวเดินต่อไปในชีวิต
ตรงกันข้ามกับคนที่ “พูดมาก” “พูดอวดรู้” (คนกลุ่มนี้เมื่อใครพูดเรื่องอะไรเขาจะบอกว่า “รู้แล้ว รู้แล้ว” ไปเสียทุกเรื่อง) หรือพวกที่พูดเพื่อจะอวดคนอื่นว่าตนเองรู้ทุกเรื่อง และถ้ามีการถกเถียงกัน คนพวกนี้จะใช้เสียงตะเบ็งดังขึ้น ๆ ใช้เสียงดังข่มทับเกทับคนอื่น บางครั้งถึงกับตะโกนใส่หน้าคู่ถกเถียง
โดยภาพรวม สังคมเราในปัจจุบันนิยมชมชื่น “คนพูดเก่ง” มากกว่า “คนฟังเก่ง!
แท้ที่จริงแล้วใครที่จะเป็น “นักพูดที่ดี” จะต้องโตมาจากพื้นฐานเป็น “นักฟังที่ดี” ก่อน
เมื่อมีโอกาสที่จะเงียบและใคร่ครวญไตร่ตรองถึงพระลักษณะของพระเจ้า เราคงไม่ปฏิเสธว่า เราต้องการได้ยินเสียงตอบของพระเจ้า เมื่อเราทูลขอต่อพระองค์ เราคาดหวังให้พระองค์ตรัสกับเรา และถ้าพระเจ้าเขียนบล็อกอย่างในปัจจุบันนี้เราคงพากันเข้าไปอ่านกันมากมาย แต่เรามักมีประสบการณ์และพบว่า “พระเจ้าเงียบ ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่ตรัสอะไร” และบางครั้งทำให้บางคนเกิดความสงสัยว่า หรือพระเจ้าไม่ได้อยู่กับเรา หรือ ไม่สนใจเรา
การเงียบของพระเจ้าไม่ได้หมายความว่าพระองค์ไม่สนใจเรา และการใส่ใจของพระองค์ต่อชีวิตของเราก็ไม่ได้แสดงออกด้วยการพูด(มาก ๆ)
แต่พระองค์ใส่ใจด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเราเชิงปฏิบัติ การสนพระทัยของพระองค์ไม่เหมือนอย่างที่เราคิดเราทำกัน แทนที่ความสนใจของพระองค์แสดงออกด้วยการพูด แต่พระองค์ใส่พระทัยเราด้วย “การฟัง”
[*] พระเจ้าทรงฟัง (ได้ยิน) เสียงร้องของเด็กนั้น พระเจ้าทรงฟังเสียงของเด็กน้อยลูกชายของหญิงรับใช้ภรรยาของอับราฮามที่ถูกขับไล่ออกจากบ้าน (ปฐมกาล 21:17)
[*] พระเจ้าทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกแรงงานทาสในอียิปต์ (อพยพ 2:24)
[*] และในพระธรรมสดุดีหลายตอนที่บอกว่าพระเจ้าฟังเสียงร้องของประชาอิสราเอล
พระเยซูคริสต์ก็ไม่ได้แตกต่างจากพระเจ้าพระบิดา พระองค์ฟังผู้คนเสมอ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำตามรูปแบบของพระบิดาและพระเยซูคริสต์ที่ให้ความสำคัญกับการฟัง
มารีย์น้องสาวของมารธาได้รับการยกย่องจากพระคริสต์ที่เธอ “นั่งลงและฟัง” พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยความเมตตาต่อมารธาว่า เธอวุ่นวายกับการทำบริการรับใช้มากเกินไป
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นนักฟังที่เยี่ยมยอด ยิ่งถ้าเป็นผู้อภิบาลด้วยแล้ว ให้เราเลียนแบบขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ให้เรามีเวลาฟังคนรอบข้างของเรา คนที่ได้รับความเจ็บปวดในชีวิต คนที่มีชีวิตโดดเดี่ยวว้าเหว่ ให้เราเสริมสร้างชุมชนคริสตจักรของเราให้โดดเด่นในการฟังคนอื่น
ท่านพี่น้องครับอย่าลืมคำแนะนำของยากอบที่ว่า...
“...ให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด...” (ยากอบ 1:19 มตฐ.) และเลิกนิสัยชอบพูดมาก ชอบรายงาน(เอาหน้า) เพื่อแสดงว่าตนรู้ทุกเรื่อง?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น