29 กรกฎาคม 2563

เมื่อทางชีวิตถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาทึบ

บางครั้งชีวิตของเราต้องประสบกับความเบลอมัวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแห่งความสับสน ความกลัวหวาดหวั่น  และ ความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในชีวิต ยิ่งในช่วงที่ต้องเผชิญหน้ารับมือกับภัยร้ายภัยร้อนของโควิด 19 ที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของเราอย่างรอบด้าน ทั้งทางกาย อารมณ์ จิตใจ และเขย่าสั่นคลอนถึงรากฐานทางจิตวิญญาณของเรา   เวลาเช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดี?

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ในทุกยุคทุกสมัย แม้เมื่อกว่า 3,000 ปีก่อนหน้านี้ก็เกิดขึ้นกับกษัตริย์ในตะวันออกกลาง กษัตริย์เยโฮชาฟัท แห่งยูดาห์ ที่เราอ่านรายละเอียดของเรื่องนี้ได้ใน 2พงศาวดาร บทที่ 20  

เมื่อกษัตริย์เยโฮชาฟัทได้ยินข่าวรายงานว่า ศัตรูคือ เอโดมและพันธมิตรของเขากำลังเดินทางใกล้เข้ามาเพื่อทำสงครามกับเยโฮชาฟัท  เยโฮชาฟัทวุ่นวายใจ สับสนไม่รู้จะสู้กับศัตรูได้อย่างไร เกิดความวิตกกังวลอย่างมาก พระคัมภีร์บรรยายไว้สั้น ๆ ว่า “และเยโฮชาฟัทก็กลัว...” (ข้อ 3 มตฐ.) ขอให้เราอ่านอย่างละเอียดในเหตุการณ์ตอนนี้จากพระคัมภีร์ เพื่อแสวงหาว่า เมื่อเยโฮชาฟัทเกิดความกลัว เกิดความกังวลสับสน ไม่รู้จะทำอย่างไร ในวิกฤติเช่นนั้น เยโฮชาฟัททำอะไร?  

จาก 2พงศาวดาร 20:1-4 เขียนไว้ว่า “[1] ต่อมาภายหลัง คนโมอับและคนอัมโมนพร้อมกับคนเมอูนีบางส่วนมาทำสงครามกับเยโฮชาฟัท [2] มีคนมาทูลเยโฮชาฟัทว่า “มีคนมากมายจากเอโดม และจากฟากข้างนั้นของทะเล ยกมาสู้รบกับฝ่าพระบาท ดูสิ พวกเขาอยู่ในฮาซาโซนทามาร์” (คือ เอนกาดี) [3] และเยโฮชาฟัทก็กลัว และทรงมุ่งแสวงหาพระยาห์เวห์ ทั้งทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ [4] แล้วยูดาห์ชุมนุมกันและแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยาห์เวห์ เขาทั้งหลายมาจากทุกเมืองของยูดาห์ เพื่อแสวงหาพระยาห์เวห์” (มตฐ.)

สิ่งที่กษัตริย์เยโฮชาฟัททำในขณะที่พระองค์ตกใจกลัว สับสน และไม่รู้จะทำอย่างไรดี พระองค์กระทำ 4 ประการด้วยกัน ดังนี้

1. นำสถานการณ์ที่เลวร้ายวางต่อหน้าพระเจ้า

กษัตริย์เยโฮชาฟัทเมื่อเกิดความกลัวจนสับสนนั้น พระองค์ไม่ได้พยายามคิดให้ออกว่าตนจะทำอย่างไรจนเครียดจัด   หรือไม่ได้เอา “หัวมุดทราย” (ไม่รับรู้) เหมือนนกชนิดหนึ่ง หรือไม่ได้ทำเป็นไม่กลัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่สนใจกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นโดยคิดว่าเดี๋ยวมันก็จะคลี่คลายไปเอง แต่สิ่งที่เยโฮชาฟัททำคือ “มุ่งแสวงหาพระเจ้า” มอบเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับตนให้อยู่ต่อหน้าพระเจ้า โดยไม่พยายามลงมือจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งเอง ที่อาจจะก่อเกิดเกิดกังวลสับสนมากขึ้น

2. แสวงหาเสียงตรัสของพระเจ้าท่ามกลางเสียงโกลาหล

ปรับเปลี่ยนจิตใจ ความนึกคิดของเรา ที่พึ่งพิงในตัวเลข (สถิติต่าง ๆ) ข้อมูลข่าวสารที่ครึกโครมมากมายที่บ่าล้นท่วมความนึกคิดของเรา ทั้งที่เป็นข้อมูลจริง หรือ ข่าวเท็จเรื่องปลอม ตลอดถึงการคาดเดาของข่าวสารต่าง ๆ ที่ไหลบ่ามาในสื่อต่าง ๆ เสียงเหล่านี้กำลังดังมากขึ้น อย่างที่เรารู้ชัดว่ามันเป็นเสียงสร้างความโกลาหลอย่างยิ่ง

กระแสคำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ไหลบ่าท่วมทับจิตใจและความนึกคิดของพวกเรา แต่ในที่นี้ผมมิได้บอกให้เรามองข้ามรายละเอียดที่มีสติปัญญาจากข่าวดีดีที่กำลังไหลท่วมชีวิตเราทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางการแพทย์และสาธารณสุข เศรษฐกิจ และความปลอดภัยทางสังคมแต่อย่านำข้อมูลเหล่านี้มาเป็น “ข้อมูลแก่นหลัก” ของเราในการรับมือกับสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญหน้าที่เราท่านจะไว้วางใจอย่างสูงสุด

ปรับ “เครื่องรับ” เสียงในภาวะสับสนนี้ให้รับเสียงจากพระสัญญา และ เสียงการชี้นำจากพระเยซูเจ้า ซึ่งเป็นเสียงแห่งความหวัง กษัตริย์เยโฮชาฟัท “มุ่งหน้าแสวงหาพระเจ้า” ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เยโฮชาฟัทสามารถอยู่เหนือความอลหม่านสับสน ความหวาดกลัว และความว้าวุ่นใจในสถานการณ์ที่เลวร้ายดังกล่าว เพราะเยโฮชาฟัทมิได้แสวงหาทางออกตามวิถีแห่งสังคมโลกในเวลานั้น แต่เขาหวังใน “พระปัญญา” จากเบื้องบน

3. ทบทวนถึงสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นรากฐานความเชื่อและความจริง 

กษัตริย์เยโฮชาฟัทย้อนทบทวนถึงความเชื่อศรัทธาที่ตนมีในพระเจ้า ถึงความดีของพระเจ้าที่มีในชีวิตของตน   กล่าวทบทวนถึงสัจจะความจริงที่พระเจ้าทรงชี้นำเขาและปกป้องรักษาในเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา เตือนตนเองว่าเรามิได้อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว และย้ำเตือนแก่ตนเองว่าพระผู้ทรงสร้างเราทรงรักและเอาใจใส่เราเสมอ และนี่คือวิธีปฏิบัติที่สำคัญของผู้คนในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม พวกเขาย้ำเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อเที่ยงธรรมของพระเจ้า จิตใจที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้าเป็นจิตใจที่มีพลังแข็งแรงในยามวิกฤติเช่นนี้

4. เดินตามขั้นตอนที่ทรงชี้นำ และเรียนรู้ที่จะวางใจว่าความสำเร็จเป็นพระราชกิจของพระเจ้า มิใช่ความสามารถและเครื่องมือทันสมัยของเรา

ขั้นตอนนี้เป็นการยอมรับความจริง 2 ประการ เรามีความรับผิดชอบแต่ในเวลาเดียวกันเรามิใช่ผู้ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ ให้เราเรียนรู้ที่จะมีชีวิตด้วยการมีฐานเชื่อกรอบคิดว่าพระเจ้าทรงครอบครองสูงสุดเหนือทุกสิ่งในเชิงปฏิบัติ (practical mindset of God’s sovereignty) เรียนรู้ว่าจะมีศานติสุขที่ยิ่งใหญ่กว่าสถานการณ์และสภาพการแวดล้อมในเวลายากลำบากนั้น เรียนรู้ที่จะไม่หมกมุ่นกับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นราวกับว่าเราสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้เอง เรียนรู้ว่าแม้แต่คนที่ฉลาดยอดเยี่ยมที่สุดท่ามกลางเราเขาเป็นได้แค่คนที่เห็นทางข้างหน้าที่นำไปสู่ความสำเร็จเท่านั้น แต่มิใช่ผู้ที่กระทำให้สำเร็จได้

เยโฮชาฟัท มุ่งมองและพึ่งพิงในพระเจ้าด้วยความถ่อม จิตอธิษฐาน สารภาพด้วยจริงใจว่า เขาไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว นอกจากที่เขาจะมุ่งมองไปยังพระองค์เท่านั้น  

ท่ามกลางความโกลาหลของสภาพสังคม ท่ามกลางความกลัวที่เจาะไชลงลึกในหัวใจ แต่ถ้าเราเป็นอย่างเยโฮชาฟัท แสงสว่างก็จะโผล่ขึ้นจากท่ามกลางความโกลาหลเหล่านั้น กลับกลายเป็นพระพรเหลือล้น ที่เป็นเหตุให้อิสราเอลโห่ร้องสรรเสริญพระเจ้าของเขา และประเทศรอบด้านก็เกรงกลัวพระเจ้าของอิสราเอล  เพราะพระองค์รบแทนอิสราเอล

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น