คริสตจักรในยุคทันสมัย มุ่งเน้นให้ความสำคัญแก่ “การเทศนา” แบบมืออาชีพ โดยไม่คำนึงถึงคำเทศนาที่ยืนอยู่บนรากฐานของพระคัมภีร์ และตอบโจทย์ชีวิตของคนในชุมชนคริสตจักร อย่างไรก็ตาม คำเทศนาเท่านั้นไม่สามารถใช้ทำหน้าที่แทนการบ่มเพาะ ฟูมฟัก และการสร้างเสริมชีวิตคริสเตียนได้
1) คำเทศนาที่มีวาทศิลป์ ตีฝีปาก มิใช่เป็นคำเทศนาตามแบบพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ แต่เป็นการเทศนาแบบกรีก ที่ให้ความสำคัญกับวาทศิลป์ การเล่นคำ และตรรกะเหตุผลที่ใช้
2) คริสตจักรในยุคเริ่มแรกนั้น ใช้กระบวนการสื่อสารแบบเปิด ซึ่งผู้ไม่เข้าใจหรือคิดต่างกันสามารถที่จะถาม หรือ แสดงมุมมองความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปได้ แต่เราในปัจจุบันกลับตรงกันข้าม คริสตจักรชอบที่จะจำกัดคำตอบแบบชัดเจนตายตัว
3) คริสเตียนจะไม่มีการเรียนรู้ที่ดีมีประสิทธิภาพ ถ้าคริสตจักรมีแต่การสื่อสารทางเดียว เฉกเช่น การเทศนา คนในคริสตจักรจะเรียนรู้ได้ดีถ้ามีโอกาสที่จะถามสิ่งที่ไม่เข้าใจ หรือเสนอสิ่งที่มองต่างมุม เปิดให้มีการสื่อสารแบบเสวนา เพราะด้วยการสื่อสารแบบเสวนานี้เองที่ทำให้สมาชิกแต่ละคนในวงสนทนาที่เกิดการคิดใคร่ครวญ หาเหตุผล จนตกผลึกเป็นความเข้าใจของตนเอง เพื่อใช้สื่อสารกับคนอื่นๆ ได้ต่อไป
4) เป็นความจริงที่ว่า มิใช่ทุกคนที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นคนสอนพระวจนะของพระเจ้า (1โครินธ์ 12:29) และก็ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอาจารย์สอนพระวจนะ(ยากอบ 3:1) อย่างไรก็ตาม คริสตจักรก็ยังต้องการหลายๆ คนในคริสตจักรที่จะมาช่วยแบ่งเบาภาระในการสอน และให้เป็นการสอนที่มีการสื่อสารแลกเปลี่ยน ความรู้ความเข้าใจและแบ่งปันประสบการณ์กันและกัน มากกว่าที่จะปล่อยให้คนเพียงคนเดียวที่จัดการเรื่องการสอน (โรม 12:7; 15:14; 1โครินธ์ 12:7; 14:26; โคโลสี 3:16; 1เปโตร 4:10-11) ยิ่งกว่านั้น เรายังต้องพิสูจน์ในคำสั่งสอน (1เธสะโลนิกา 5:21) หรือแม้แต่เรื่องวิญญาณเราก็ไม่ควรเชื่อทุกวิญญาณ ต้องมีการพิสูจน์ (1ยอห์น 4:1) คือเปิดโอกาสให้มีการไต่ถาม สนทนาหาความจริง เกี่ยวกับคำสอน และ คำทำนายที่อาจจะมีผู้เห็นว่าเป็นคำสอนที่เทียมเท็จ แต่ในคริสตจักรสมัยนี้หลายต่อหลายคริสตจักรที่ปิดประตูในเรื่องนี้
5) การที่ไม่มีการตอบสะท้อน หรือ การสะท้อนคิดต่อ “คำเทศนา” ย่อมทำให้เกิดความมืดทึบ ตีบตันทางปัญญาและความเชื่อในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่เกิดผลดีต่อการเจริญเติบโตในชีวิตของผู้เชื่อ
6) คำเทศนาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ในคริสตจักร ก็เป็นเพียงเทศนาเพื่อฟังเทศนา ไม่เกิดผลต่อยอดใดๆ ในชีวิตผู้ฟัง คำเทศนาเป็นเพียงชุดข้อมูล เทศนาที่มุ่งให้ข้อมูลพระคัมภีร์(หรือบางครั้งเป็นข้อมูลจากสื่อต่างๆ)แก่ผู้ฟัง และจบสิ้นลงเมื่อผู้ฟังได้ยินข้อมูลที่เทศนา ซึ่งแตกต่างไปจากกระบวนการ บ่มเพาะ เลี้ยงดู และฟูมฟักชีวิตคริสเตียน ทั้งการสอนที่เป็นวาจา ท่าทีของผู้สอนที่แสดงออก และที่สำคัญคือการบ่มเพาะด้วยชีวิตที่เป็นตัวอย่างของผู้สอน คริสตจักรต้องการผู้อภิบาลที่อภิบาลด้วยชีวิต มิใช่เป็นผู้อภิบาลด้วยคำสอน หรืออภิบาลจากบนธรรมาสน์เท่านั้น
7) ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ มิได้เสนอว่าให้มีเพียงคนเดียวที่ทำหน้าที่การสอนตลอดกาลในคริสตจักร (กิจการ 13:1; 1เธสะโลนิกา 5:12-13; 1ทิโมธี 5:17) เราไม่ควรทำให้คริสตจักรต้องพึ่งพิงการสอนของคนๆ เดียว
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง
The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry ของ Darryl M. Erkel
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง
The Urgent Need For Reformation in Pastoral Ministry ของ Darryl M. Erkel
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น