29 กันยายน 2554

พลังจากการใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้า

วินัยชีวิต: จัดลำดับให้พระเจ้ามาก่อนในชีวิต

อ่าน ฮีบรู 11:1-10

ให้เราวิเคราะห์คำที่เราใช้จนคุ้นชินและลืมตัวในแต่ละวัน
1. วันนี้ยุ่งฉิบ...ใช่ไหม?: มีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าเวลาที่เรามี
2. น่ารำคาญจังเลย...: มีหลายสิ่งหลายอย่างมาดึงแล้วดูดความคิดของเรา มันพยายามดึงดูดความสนใจจากเรา
3. เลวมาก ชั่วช้าจริงๆ...: มันมีความมืดที่ผ่านเข้ามาพยายามครอบงำจิตใจและจิตวิญญาณของเรา เหมือนมันกำลังอยู่ในกลียุคเช่นนั้นแหละ

เอาล่ะถ้าผมจะเสนอให้กับท่านว่า ผมสามารถที่จะให้ความลับที่จะทำให้ท่านมีพลังแห่งความดีท่ามกลางวันที่แสนจะยุ่ง ท่ามกลางสภาพที่ท่านกำลังถูกดึงดูด และท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวและชั่วช้า ท่านจะสนใจหรือไม่? แล้วท่านจะคิดอย่างไรถ้าผมจะแสดงและพิสูจน์เทคนิกที่สามารถเกิดผลเสมอไม่ว่าในสถานการณ์เช่นไร ในสถานที่ไหน หรือท่ามกลางภาวะกดดันแบบใดก็ตาม? ยิ่งกว่านั้น ดูเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อคุณพิจารณาตามหลักเกณฑ์อย่างถ้วนถี่ตามความเป็นจริง เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ขอท่านเปิดฮีบรู บทที่ 11

อะไรคือสิ่งที่ อาเบล เอโนค โนอาห์ อับราฮัม โยบ ดาวิด เอสรา และดาเนียล มีเหมือนกับพระเยซู? ลองอ่านอย่างใส่ใจในพระธรรมฮีบรู 11:1-10

บุคคลเหล่านี้ยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้า และเอาพระวจนะนั้นใคร่ครวญ รำพึง ในความนึกคิดของเขา แล้วย่อยพระวจนะนั้นจนไหลแทรกเข้าในชีวิตทั้งสิ้นของเขา ให้เราเริ่มต้นฮีบรูบทที่ 11 ในพระธรรมตอนนี้เราได้เห็นรายชื่อของบุคคลที่ได้รับพระวจนะของพระเจ้า แล้วยึดมั่นในพระวจนะนั้น

  • ชีวิตของอาเบล เราเรียกว่า ชีวิตที่ถวายแด่พระเจ้า (11:4) ให้เราคิดถึงอาเบล เขามีชีวิตอยู่กับสัตว์เลี้ยง อยู่กับฝูงแกะของเขา แสวงหาพระเจ้าผู้ทรงสร้างสากลจักรวาล และการเสียชีวิตของเขาก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทรงเอาใจใส่ ความยุติธรรม และพระเมตตาของพระเจ้า (ดูปฐมกาล บทที่ 3 และ 4)
  • เอโนคมีชีวิตที่เรียกได้ว่า ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้า (11:5-6 ดูปฐมกาล 5:22) เอโนคมีชีวิตในยุคที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นช่วงเวลาที่สังคมกำลังเลวร้ายเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ เค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา (ปฐมกาล 6:5) ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่น้ำท่วมโลก
  • ในชีวิตของโนอาห์เรียกว่า ชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้า (11:7) โลกต้องจบสิ้นลง โนอาห์ต้องใช้เวลาที่ยาวนานในการต่อเรือ ตลอดชีวิตความคิดจิตใจของเขาอยู่ที่พระเจ้า
  • ชีวิตของอับราฮัมเรียกว่า ชีวิตโดยความเชื่อ (11:8-10) ในชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่ต้องพเนจรไปโดยความเชื่อ มีชีวิตอยู่ในเต็นท์จากที่หนึ่งเคลื่อนไปยังอีกที่หนึ่ง
  • ชีวิตของดาวิดเรียกได้ว่า เป็นชีวิตที่ยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า (สดุดี 63:8 อมตธรรม) "จิตวิญญาณข้าพระองค์ยึดมั่นในพระองค์ พระหัตถ์ขวาของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้"
  • เอสรามีชีวิตที่เรียกว่า แสวงหาพระเจ้าหมดทั้งใจ (สดุดี 119:9-11 อมตธรรม)
  • ดาเนียลมีชีวิตที่เรียกว่า ชีวิตที่ต้องการอยู่เพื่อพระประสงค์ (ดาเนียล 1:8) เราเห็นจริงแล้วว่า เราไม่จำเป็นต้องไปค้นหาคำตอบอะไรที่พิสดารมากกว่านี้ ท่านเห็นแล้วว่าเราไม่จำเป็นจะต้องค้นหาประจักษ์พยานมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะเรามีพยานพรั่งพร้อมมากมายเช่นนี้แล้วเราต้องการพิสูจน์ค้นหาอะไรอีก (ฮีบรู 12:1) ในพระธรรมตอนเหล่านี้พระเจ้าประสงค์ให้เรารู้ว่าเราจะต้องดำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ ดังนั้น เราคงคงต้องหยุดชีวิตของเราแล้วใคร่ครวญว่า เรายังจำเป็นแสวงหาเป้าหมายชีวิตที่ถูกต้องที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิตอีกหรือไม่
  • ชีวิตของพระเยซูคริสต์เรียกว่า ชีวิตที่ดำเนินไปตามพระวจนะของพระเจ้า ในถิ่นทุรกันดารที่พระองค์เอาชนะการทดลองของอำนาจชั่วร้ายนั้น และการที่ร่างกายต้องอ่อนแรงเพราะความหิวโหยขาดอาหาร พระเยซูคริสต์ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของพระวจนะของพระเจ้า
ในเรื่องนี้มนุษย์รู้ดีถึงคุณค่าแห่งการที่มีชีวิตที่มีวินัยธรรมดาที่แนบสนิทส่วนตัวกับพระเจ้า ด้วยการฟังพระเจ้าผ่านการใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระองค์

สิ่งต่อไปนี้เป็นการกระตุ้นและท้าทายเราในการแสวงหาและใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้า

เมื่อเอสราต้องเผชิญหน้ากับชนชาติต่างๆ ที่มีความแตกต่างจากชนชาติของพระเจ้า ในขณะที่ต้องมีชีวิตในบาบิโลน ท่านได้ร้องทูลว่า "ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์" (สดุดี 119:11 ฉบับมาตรฐาน)

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ในพระธรรมสุภาษิตได้เรียกร้องให้เราค้นหาความอุดมมั่งคั่งในพระวจนะของพระเจ้า จากสุภาษิต 4:1-12 ได้ให้ภาพของการมีพระวจนะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตโดย ...ฟังคำสอน...ใส่ใจ...อย่าทอดทิ้ง...ยึดถ้อยคำ...รักษาบัญญัติ...มีชีวิตอยู่...เอาปัญญา...เอาความรอบรู้...ไม่ลืม...ไม่ทอดทิ้ง...กอดเธอ(ปัญญา)ไว้...รับถ้อยคำ...ตีราคาปัญญาให้สูง... นั่นหมายความว่าให้เรายึดพระวจนะของพระเจ้าไว้อย่างมั่นคง ยึดมั่นพระวจนะไว้ในชีวิตของเราและอย่ายอมคลายและปล่อยให้พระวจนะหลุดลอยไปจากชีวิตของเรา

ในภาวะคับขันของชีวิต เมื่อกองทัพบาบิโลนล้อมยูดาห์ เยเรมีย์ถูกจับแล้วโยนลงในบ่อน้ำแคบๆ เขาถูกไล่ล่าปางตาย แต่เยเรมีย์เรียนรู้ว่า "เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า" (เยเรมีย์ 29:13 ฉบับมาตรฐาน)

เมื่อซาตานทดลองพระเยซู พระองค์ทำให้ศัตรูของพระองค์ต้องหุบปากลง และพระองค์ได้ให้บทเรียนบทแรกแก่เราว่า เราควรจะใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังเพราะ "มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า" (มัทธิว 4:4, เฉลยธรรมบัญญัติ 8:3)

พระคัมภีร์ข้อเหล่านี้เรียกร้องเราให้ปฏิบัติตามด้วยหลักการที่สามัญเรียบง่าย แต่มนุษย์มักจะทอดทิ้งในการเอาใจใส่ชีวิตจิตวิญญาณด้วยการมีวินัยในการมีพระวจนะของพระเจ้าและใช้ในการดำเนินชีวิตของตน ด้วยการใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระองค์ จงปิดประตูแห่งชีวิตของท่าน เพื่อปิดทางสิ่งที่เข้ามาทำให้ชีวิตจิตใจของท่านต้องว้าวุ่นและไขว้เขว เช่น คอมพิวเตอร์ ทีวี กีฬา หรือ งานอดิเรกที่ท่านชื่นชอบ แล้วให้ชีวิตจิตใจของท่านทั้งสิ้นอยู่กับสัจจะความจริงของพระเจ้า และเพิ่มพูนสติปัญญาจากพระปัญญาจากพระวจนะของพระองค์ ผู้คนที่ต้องการเลือกการใคร่ครวญภาวนาในพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะเปิดเผยให้เห็น และเราจะสัมผัสถึงความอุดมมั่งคั่งในพระปัญญาและไฟแห่งพระวิญญาณของพระองค์ในชีวิตจิตวิญญาณของเรา

การเฝ้าเดี่ยวก็คือการที่เราอยู่กับพระเจ้าส่วนตัวเพราะเรารักพระองค์
การใคร่ครวญภาวนาคือการฟังพระวจนะของพระเจ้า

บ่อยครั้งเหลือเกินที่ดูเหมือนว่าเราถูกกระตุ้นในการควานหาพระเจ้าเมื่อเราเผชิญกับปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่การที่เราใคร่ครวญในพระวจนะของพระเจ้า คือการที่เราเข้าหาพระองค์เพื่อรับชีวิตจากพระองค์ เป็นสัจจะความจริงที่ทรงประทานเข้ามาในแก่นหลักแห่งชีวิตจิตวิญญาณของเรา ลงลึกไปยังรากฐานชีวิตในการตัดสินใจของเราในแต่ละวัน

การใคร่ครวญภาวนาเป็นกระบวนการที่พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในหัวของท่านและผ่านเข้าไปในจิตวิญญาณของท่าน เป็นการนำมาซึ่งพลังอำนาจแห่งชีวิต "การใคร่ครวญภาวนาเป็นเครื่องบดย่อยอาหารสำหรับจิตวิญญาณ" ถึงแม้ว่าพระเยซูต้องอดอาหารถึงสี่สิบวันร่างกายอ่อนกำลัง แต่จิตวิญญาณของพระองค์เข้มแข็งจากการที่พระองค์ได้แสวงหาพระเจ้าและใคร่ครวญภาวนาถึงพระวจนะของพระเจ้า และพระองค์ใช้พระวจนะเพียงไม่กี่คำเป็นเครื่องมืออาวุธที่ทรงพลังในการปะทะกับศัตรูของพระองค์

เพื่อการประยุกต์หลักการนี้ใช้ในชีวิตของเรา นี่คือหลักการธรรมดาสามัญ 6 ประการแต่สำคัญยิ่งที่ใช้ในการเจาะลึกและพบกับความรุ่มรวยในการใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้า

1) อธิษฐานเป็นประการแรก: เพื่อทูลขอวิญญาณแห่งปัญญาจากพระเจ้า และการทรงสำแดงถึงพระวจนะของพระองค์ (เอเฟซัส 1:17-18) พระองค์ต้องการประทานความเข้าใจที่ลึกซึ้งผ่านการใคร่ครวญภาวนาของเรา เป็นการสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะเข้าใจสัจจะความจริงที่ว่า เราจะไม่ยอมปล่อยให้ความรู้สึกและอารมณ์ของเรายึดครองช่วงเวลานี้ที่เราอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านอาจจะต้องต่อสู้กับความห่อเหี่ยวของจิตใจ แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องสู้กับสิ่งเหล่านี้

2) คว้าบางสิ่งบางอย่างไว้: ให้เขียนข้อพระคัมภีร์ลงในสมุดบันทึกของท่าน การเขียนข้อพระคัมภีร์เพื่อสร้างเป็นวินัยของการพยายาม และยิ่งท่านมีวินัยนี้มากเท่าใด ท่านก็ได้ให้โอกาสแก่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับท่านมากแค่นั้น เมื่อท่านเขียนบางสิ่งบางอย่างลงในสมุดบันทึก ท่านก็จะมีโอกาสในการคิดใคร่ครวญในสิ่งที่ท่านกำลังเขียนอย่างขุดลงลึก ท่านจะวิเคราะห์สิ่งนั้นอย่างระมัดระวังมากยิ่งขึ้น และความคิดของท่านในเรื่องนั้นก็จะเฉียบแหลมคมมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

3) หยุดสักพักหนึ่ง: ให้เขียนสิ่งที่ท่านเข้าใจจากพระวจนะข้อนั้นๆ ลงไว้ ในจุดนี้ท่านอาจจะคิดว่า "ความคิดนี้ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ทำไมจะต้องเขียนมันลงไปด้วยล่ะ" แต่ถ้าท่านคิดเช่นนั้น นั่นแสดงว่าความคิดของท่านกำลังล่องลอยไปยังเรื่องอื่น ดังนั้นจงเขียนความคิดของท่านลงไป ถึงแม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่มีความลึกซึ้งอะไรเลยก็ตาม

4) ฟังพระเจ้า: ให้ประยุกต์ความเข้าใจใช้ในชีวิตของท่าน เมื่อท่านดำเนินการใคร่ครวญต่อไป พระเจ้าอาจทรงเริ่มเติมเต็มความเข้าใจที่ลึกซึ้งเหลือเชื่อเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าและความรักของพระองค์ เมื่อท่านได้รับ "ทองคำอันล้ำค่า" ในจิตใจของท่าน อย่าพอใจแล้วผ่อนคลาย จงบรรจุรักษาสิ่งนี้ไว้ในที่ปลอดภัย กล่าวคือให้เริ่มประยุกต์สิ่งใหม่นี้ใช้ในชีวิตของท่านทันที

5) ตอบพระองค์: ตอบสนองต่อพระเจ้า เก้าครั้งจากจำนวนสิบครั้งที่ท่านใคร่ครวญภาวนา พระวจนะของพระเจ้าจะนำท่านให้ไปถึงจุดที่จะเกิดการตอบสนองใหม่ๆ แด่พระเจ้า อย่าสูญเสียโอกาสด้วยการอึกอักลังเล แต่ฉกฉวยโอกาสในการที่จะตอบสนองด้วยจิตใจของท่านต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

6) เริ่มต้นนิสัยใหม่: จงแสวงหาพระปัญญา การใคร่ครวญภาวนาและการรับความเข้าใจจากองค์พระผู้เป็นเจ้ามิใช่เพียงการนั่งนิ่งและเงียบสงบเท่านั้น เรามิได้นั่งที่นั่นพร้อมกับการเปิดพระคัมภีร์แล้วรอให้พระเจ้าเติมเต็มแก่เรา แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้องต้องการให้เรากระทำขับเคลื่อนในการใคร่ครวญภาวนาของเรา เมื่อสัจจะความจริงของพระเจ้าแทรกซึมแผ่อิทธิพลเข้าในความนึกคิดของเรา นั่นก็จะเป็นการบุกจู่โจมและรื้อถอนอำนาจความบาปชั่วที่ความจริงของพระเจ้าเผชิญอยู่ อย่างที่พระเยซูตรัสสอนเราในยอห์น 17:17 และที่พระองค์ทรงทำเป็นแบบอย่างในมัทธิวบทที่ 4 พระองค์ตรัสสอนแก่เราว่า หนทางที่เราจะบริสุทธิ์ได้ก็โดยการผ่านทางพระวจนะ โปรดจำไว้ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะปกป้องท่านจากอำนาจบาปชั่ว แต่ความบาปชั่วจะกีดกั้นท่านจากพระวจนะของพระเจ้า

ผล 7 ประการที่ได้จากการใคร่ครวญภาวนา

1. ความสำเร็จ: พระธรรมโยชูวา 1:8 นี่เป็นพระบัญชาของพระเจ้าที่มีต่อโยชูวาที่จะให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นพลังในชีวิตของเขา ลองคิดดูเถิดว่า โยชูวาปกครองประชาชนกว่าสามล้านคน เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่เป็นเวลา 40 ปี อะไรที่ทำให้เขามีความเจริญและประสบความสำเร็จมากมายในชีวิตเช่นนี้ เพราะเขาตรึกตรองใคร่ครวญในพระวจนะตลอดชีวิตของเขา

2. ชีวิตที่เกิดผล: พระธรรมสดุดี 1:2 บทแรกของพระธรรมที่ยาวที่สุดในพระคัมภีร์เป็นสูตรลับของความสำเร็จในชีวิตจิตวิญญาณ พระเจ้าประสงค์ให้เราอุดมมั่งคั่งและเกิดผล แล้วจะเกิดผลได้อย่างไรล่ะ "ใคร่ครวญพระบัญญัติของพระเจ้าทั้งกลางวันและกลางคืน" (สดุดี 1:2 ฉบับมาตรฐาน)

3. สงบมั่นคงท่ามกลางการทดลอง: อ่านสดุดี บทที่ 35 แล้วดูบทสรุปในข้อ 28 สดุดีบทนี้ดาวิดเขียนขึ้นเมื่อเขาถูกซาอูลตามล่า (1ซามูเอล บทที่ 24) ไม่มีชีวิตของบุคคลใดในพระคัมภีร์ที่ถูกตีแผ่ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นชู้ ปัญหาในครอบครัว ความเครียดจากงานที่ทำ ปัญหากับคนอื่น ศัตรู ถูกอำนาจชั่วต่อสู้ และอื่นๆ อีกมากมาย ดาวิดเผชิญสถานการณ์เหล่านี้อย่างไรหรือ? จิตใจจดจ่อและกล่าวถึงพระวจนะของพระเจ้า

4. ความมั่นคงในทะเลที่บ้าคลั่ง: พระธรรมสดุดี 37:30-31 นาวาแห่งชีวิตของท่านกำลังเคว้งคว้างกลางทะเลหรือ? กำลังเอียง และ กำลังจะจมหรือ? แล้วจะมั่นใจในความมั่นคงในชีวิตได้อย่างไร? ใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้า "บทบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในใจของเขา ย่างเท้าของเขาจะไม่พลาดพลั้ง" (ข้อ 31 ฉบับมาตรฐาน)

5. การนมัสการสรรเสริญส่วนตัวในเวลาที่ชีวิตแห้งแล้ง: พระธรรมสดุดี บทที่ 63 และดูข้อ 6 ชีวิตนี้ต้องวิ่งอย่างเหน็ดเหนื่อยหาเวลาพักไม่ได้หรือเปล่า? บ่อยสักแค่ไหนที่ท่านโหยหาเวลาที่สงบเงียบบนยอดเขา ชายฝั่งทะเล หรือการเข้าเงียบในป่า พร้อมกับพระคัมภีร์และกาแฟร้อนๆ? พระเจ้าตรัสว่า เรารอคอยเจ้าทุกจุดหักเหในชีวิตของเจ้า ทุกจุดหันกลับจากสิ่งที่เจ้ากราบไหว้บูชา ไม่ว่าจะเป็นรถ คอมพิวเตอร์ ที่ทำงาน ตำแหน่ง และ ฯลฯ แล้วเราจะทำอย่างไรหรือ? ด้วยการใคร่ครวญในพระวจนะของพระเจ้า "ขณะอยู่บนที่นอน ข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ ข้าพระองค์คิดคำนึงถึงพระองค์ตลอดคืน" (ข้อ 6)

6. ชีวิตที่เป็นพยานถึงความสัตย์สุจริตของพระเจ้าเมื่อยามแก่เฒ่ามาเยือน: พระธรรมสดุดีบทที่ 71 ท่านต้องการที่จะลงท้ายชีวิตด้วยความหวานชื่นอย่างเช่นชีวิตของธรรมิกชนที่ท่านชื่นชอบ เขาจบชีวิตลงอย่างสงบ ด้วยความอดทนต่อความเจ็บปวดในชีวิต ด้วยกำลังและความสงบสันติที่มาจากพระเจ้า ธรรมิกชนเหล่านี้ได้กำลังในชีวิตเมื่อตกอยู่ภายใต้เงาแห่งความตายได้อย่างไร ก็ด้วยการใคร่ครวญภาวนาพระวจนะของพระเจ้า "ลิ้นของข้าพระองค์จะเล่าถึงพระราชกิจอันชอบธรรมทั้งสิ้นของพระองค์ตลอดวันคืน (ข้อ 24)

7. การปลอบประโลมท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก: พระธรรมสดุดีบทที่ 77 ท่านรู้สึกว่ามันหนักเกินกว่าที่ท่านจะก้าวเดินต่อไปใช่ไหม? ศัตรูดูเหมือนว่ามีชัยเหนือท่านหรือไม่? ปัญหามันสุมรุมเพิ่มพูนอย่างสิ้นหวังหรือเปล่า? พระเจ้าทรงมีคำตอบ เป็นคำตอบที่แสนจะธรรมดาแต่เปี่ยมด้วยพลัง ใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์ "ข้าพเจ้าจะใคร่ครวญถึงพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ และตรึกตรองพระราชกิจอันเกรียงไกรทั้งปวงของพระองค์" (ข้อ 1)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น