21 กันยายน 2554

ผจญกับความล้มเหลว: แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งที่พบ!

โรม 4:4-5; 1โครินธ์ 10:31;(ฉบับมาตรฐาน) ฮีบรู 12:1

ฉันบรรจงห่อพัสดุภัณฑ์อย่างแน่นหนา ด้วยความระมัดระวัง เพื่อที่จะไปส่ง อีเอ็มเอส ที่ไปรษณีย์ พร้อมกับคิดในใจว่า พรุ่งนี้ บรรณาธิการสำนักพิมพ์ก็จะได้รับต้นฉบับหนังสือที่ฉันเขียน และในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าฉันจะได้เห็นหนังสือที่ฉันฝันและทุ่มเทมาเป็นเวลายาวนานในชีวิตปรากฎเป็นจริง

ฉันคาดหวังที่จะได้รับความตื่นเต้น ชื่นอกชื่นใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการ "มึน" และ "ชา" หมดความรู้สึก สิ่งที่ฉันทุ่มเทมุ่งหวังอย่างอดทนที่ยาวนานด้วยทั้งหมดของความคิด ความรู้สึก จิตวิญญาณ และทุกสิ่งทุกอย่างในความรู้ และ ความชาญฉลาดของฉันได้บรรจงเทลงในหนังสือเล่มนั้น จนไม่เหลือแม้แต่คำเดียวในสมองของฉัน

หลังจากส่งต้นฉบับไปได้ 3-4 วัน บรรณาธิการสำนักพิมพ์ได้โทรศัพท์มาถึงฉัน และบอกว่า "เราชอบเรื่องราวในต้นฉบับที่คุณเขียน และเราอยากให้คุณเขียนเพิ่มอีก 4 บท แล้วรีบส่งกลับมาให้เราเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะตารางพิมพ์ของเราแน่นมาก"

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เหมือนกับว่าฉันได้ตั้งครรภ์ 9 เดือน แล้วอดทนในการเบ่งคลอดลูกอีก 24 ชั่วโมง แล้วฉันก็ได้คลอดทารกที่น่ารักสวยงาม และหลังจากนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์สูตินรีแพทย์มาบอกฉันว่า "คุณจำเป็นที่จะต้องกลับไปเบ่งคลอดอีก 6 ชั่วโมง"

หลังจากนั้นอีก 3 อาทิตย์ ฉันปล้ำสู้กับความรู้สึกของตนเอง ฉันต่อรองกับพระเจ้า ฉันร้องไห้ วันแล้ววันเล่า ทุกสิ่งที่ฉันเขียนมันถูกโยนลงในตะกร้าขยะ ความกลัวเสียขวัญแผ่แพร่ขยายไปทั่วในความนึกคิดของฉัน "ฉันวิ่งมาถึงเส้นชัยแค่เอื้อม แต่ฉันทำให้ตนเองไปเหยียบเส้นชัยไม่ได้" สิ่งที่ปรากฎอยู่ข้างหน้าของฉันคือความล้มเหลวอย่างแน่นอน

ในที่สุด บทที่จะต้องเขียนเพิ่มในหนังสือของฉันได้ผุดโผล่ออกมา ทำให้ฉันรู้สึกว่าในภาวะเช่นนี้เราควรพูดหรือง่วนอยู่กับสิ่งที่จะต้องทำให้เกิดขึ้น มากกว่ามัววนเวียนคิดถึงแต่ความล้มเหลวและสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือผลของความล้มเหลว ทำให้ฉันมองเห็นและเรียนรู้ว่า ความล้มเหลวเป็นสิ่งที่เราควรจะพูดถึงมันเมื่อเรามีชัยและเกิดผลตามมาจากความสำเร็จแล้ว

ความจริงที่ไม่มีทางเลือกก็คือ การเรียนรู้ที่ความล้มเหลวสอนเราคือ เราไม่สามารถหาทางเรียนรู้จากทางอื่นวิธีอื่นได้ ดังนั้น ให้เรากระทำต่อความล้มเหลวดั่งแขกที่มาเยือน ยอมรับข่าวที่ทำให้เราไม่สบายใจ แต่ไม่อนุญาตให้ความล้มเหลวมาอาศัยอยู่ด้วย เราคงจำเป็นต้องบอกกับความล้มเหลวว่า "เชิญแสดงจุดผิดพลาด บกพร่องแก่ฉัน แล้วเชิญคุณออกจากที่นี่" มุมมองและทัศนคติที่สำคัญต่อความล้มเหลวคือ เราจะต้องมองความล้มเหลวของเราอย่างใกล้ชิด ละเอียดถี่ถ้วน แล้วให้น้ำหนักความสำคัญตามความเป็นจริงตามสภาพความล้มเหลวที่เป็นอยู่

คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากความล้มเหลวของคุณ? สำหรับฉันแล้วฉันได้เรียนรู้

ทุกความล้มเหลวไม่มีน้ำหนักหรือความสำคัญเท่ากัน

สมัยที่ฉันเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย ฉันเคยได้ "D" อยู่วิชาหนึ่ง คนอื่นอาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร เพื่อนของฉันบางคนกลับมองว่าเป็นเรื่องตลก(เพราะได้ "D" ก็สอบผ่าน) แต่ความจริงก็คือว่ามันฝังแน่นในความคิดของฉันเหมือนกรวดในรองเท้า ทำไมฉันถึงยึดเกาะแน่นที่เกรดหรือคะแนนที่ได้ แต่เมื่อฉันให้เวลาที่จะมองพิจารณาสถานการณ์รอบข้างอย่างถ้วนถี่และตามความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นเทอมแรกในการเรียน ฉันลงเรียน 19 หน่วยกิต, ทำงานครึ่งเวลา(เพื่อเลี้ยงชีพอยู่รอด), แล้วมีแฟนเสียอีกด้วย, มีอยู่ 6 สัปดาห์ที่ฉันต้องผจญกับการเจ็บไข้ได้ป่วยเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ เมื่อฉันมีโอกาสที่จะตรวจสอบใคร่ครวญถึงความจริงของสถานการณ์ของความล้มเหลว ทำให้พลังอำนาจของความล้มเหลวที่ครอบงำรบกวน และกัดกร่อนความคิดความรู้สึกของฉันหมดแรงลงได้

ความล้มเหลวสอนเราว่าอะไรที่สำคัญ


ฉันมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เขาได้ออกจากงานที่เขารัก ฉันแปลกใจในสิ่งที่เธอทำ เพราะฉันรู้ดีว่าเขาทำงานนั้นได้ดีเยี่ยมแค่ไหน

"ฉันมีแนวโน้มที่จะทนงตนอย่างสูง" เธอบอกฉันต่อไปว่า "ฉันยุติงานนี้เพราะฉันทำสำเร็จแล้ว เพราะในสถานการณ์ที่ฉันต้องสูญเสียงานนี้ไปมันทำให้ฉันรู้จักถ่อมตัวลง ในที่สุด ฉันชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะในความทนงตนคุณจะไม่ได้รับอนุญาตให้ล้มเหลวในชีวิต คุณต้องแบกแอกอันหนักอึ้งนี้ไว้ ฉันจะไม่ยอมอยู่ใต้แอกที่แสนหนักนี้ต่อไป ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าจิตวิญญาณของฉัน "เบาตัว" ฉันไม่ต้องมีภาระหนักที่ต้องแบก ภาระหนักที่กดฉันว่าต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ"

ในส่วนที่ดียิ่งที่เธอได้รับในสถานการณ์ครั้งนี้คือ พระเจ้าใช้ประสบการณ์ชีวิตครั้งนี้ให้เธอได้เข้ามาใกล้กับพระองค์ "ในสถานการณ์นี้ พระเจ้าให้เกิด "ฟอง" กับฉันมิใช่ให้ฉันต้อง "ระเบิด" (พระเจ้าทรงให้เกิดฟองที่ระบายความดันออกมา มิได้ให้เกิดการสะสมแรงดันจนเกิดระเบิดในตัวเธอ) จุดนี้เองที่นำฉันมาเป็นสาวกของพระองค์ ความสำเร็จไม่จำเป็นที่จะต้องมีคำอธิบาย แต่เมื่อใดก็ตามที่ความล้มเหลวสัมผัสกับชีวิตของเรา เราต้องการคำตอบ ฉันจึงเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต แต่ในที่สุดสิ่งเหล่านี้นำฉันเข้าถึงพระเจ้า

ความล้มเหลวเป็นเพียงสถานการณ์แวดล้อมหนึ่ง มิใช่เป็นคำพิพากษา

ฉันรู้จักกับสตรีคนหนึ่งที่ใช้เวลาชีวิตของเธอในธุรกิจอุตสาหกรรมร้านอาหารที่ท้าทายอย่างมากเป็นเวลาถึง 15 ปี เธอรู้สึกตั้งแต่วันแรกของการเปิดแฟรนชายส์สาขาแรกว่าพระเจ้าทรงให้เธอทำธุรกิจนี้อย่างมีพระประสงค์ เธอทำธุรกิจนี้ด้วยความสัตย์ซื่อ ให้การบริการที่ยอดเยี่ยม จำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ และที่สำคัญเธอใช้ระบบคุณธรรมจากพระคัมภีร์เป็นระบบคุณค่ากับคนที่มาสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นคนงานที่ทำงานด้วย ผู้ขาย และลูกค้า

งานนี้ไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เสียแล้ว เมื่อภัตตาคารของเธอเปิดได้แค่สามสัปดาห์ก็ถูกขว้างระเบิด หลังจากนั้นคู่แข่งของแฟรนไชส์ก็เปิดภัตตาคารด้านขวาข้างอาคารของเธอ เธอเล่าว่า "ทุกวันฉันมอบธุรกิจนี้ไว้กับพระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะจัดการให้ธุรกิจนี้ดำเนินต่อไปอย่างไร"

เมื่อธุรกิจนี้เติบโตใหญ่ขึ้น สามีของเธอได้เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายการเงิน หลังจากนั้น 15 ปีเธอเป็นเจ้าของภัตราคาร 14 แห่ง ชื่นชมกับความสำเร็จทางธุรกิจและการเงิน และเป็นที่นับถือในหมู่เพื่อนฝูง

วันหนึ่งบริษัทแม่ของแฟรนไชส์ได้ปรับเปลี่ยนระเบียบใหม่ เพื่อนของฉันและสามีของเธอรู้สึกว่าตามระเบียบใหม่นี้เธอจะต้องปรับระบบคุณค่าในการทำธุรกิจลงไม่เช่นนั้นจะทำธุรกิจนี้ตามระเบียบใหม่ไม่ได้ การที่จะยุติกิจการก็ดูเป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนเอาการ มันเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความตึงเครียดทั้งในด้านอารมณ์และทางการเงิน ในสายตาของบรรดานักสังเกตการณ์ ต่างมองว่าความล้มเหลวที่ใหญ่โตพร้อมที่จะล้มครืนลง

ฉันหวังว่าเราจะไม่มองความล้มเหลวด้วยสายตาแบบง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มองความล้มเหลวบนรากฐานระบบคุณค่าตามพระคัมภีร์ การกระทำอย่างนี้ของบริษัทแม่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง เพื่อนของฉันยอมรับว่าช่วงนั้นเป็นเวลาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอและสามีช่วยกันทบทวนว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับเธอ พยายามดึงเอาสติปัญญาจากสถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นก่อนที่จะตัดสินใจ "ทิ้งไพ่ใบสุดท้าย"

Oswald Chambers เคยกล่าวไว้ใน My Utmost for His Highest ตอนหนึ่งว่า "พระเจ้าทรงสามารถนำพระประสงค์ของพระองค์ผ่านหัวใจที่ฉีกขาดสลายไปยังโลก ถ้าเช่นนั้นจงขอบพระคุณพระองค์ที่ทำให้หัวใจของท่านต้องฉีกขาด" เพื่อนสนิทของฉันและสามีของเธอเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ทุกวันนี้เธอสามารถกล่าวถึงพระธรรมโรม 8:28 ได้อย่างเต็มปากจากประสบการณ์จริงในชีวิตของเธอว่า "...เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์"

เธอบอกฉันว่า เธอเริ่มธุรกิจใหม่อีกครั้งหนึ่ง เธอกล่าวว่า "พระเจ้าทรงยื่นห่อของขวัญแก่เธอ และเธอต้องเปิดห่อของขวัญนั้น" เธอกล่าวต่อไปอีกว่า "เธอไม่รู้เลยว่ามีอะไรในห่อของขวัญนั้น ฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตของฉันทำในสิ่งที่พระเจ้าประทานให้ฉันทำ" ทุกวันนี้เพื่อนสนิทคนนี้ของฉันเป็นโค้ชแก่ผู้บริหาร เธอให้การปรึกษาแก่ ซีอีโอ ในการบริหารจัดการทั้งธุรกิจและการดำเนินชีวิตของเขา

พระเจ้ามองความล้มเหลวด้วยสายตาที่แตกต่างจากเรา

การที่เขียนเพิ่มอีกสี่บท หรือคะแนนที่เรียน ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดเท่ากับความหายนะที่เกิดจากความล้มเหลวที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง เช่น การติดสารเสพติดที่นำความหายนะมาสู่ชีวิต ลิ้นที่พูดพล่อยไม่ระมัดระวังที่ทำลายสัมพันธภาพที่สำคัญในชีวิตและการงาน การหลอกลวงที่หักหลังความไว้วางใจที่คนอื่นมีต่อเรา และสิ่งที่สำคัญยิ่งที่จะต้องตระหนักชัดว่า พระเจ้าทรงมีมุมมองความล้มเหลวที่ชัดเจนแตกต่างจากมุมมองของเรา

ในขณะที่พระเจ้าทรงคาดหวังว่าเราจะรับผิดชอบในส่วนความรับผิดชอบของเรา และทูลขอการยกโทษจากพระองค์ พระองค์ไม่เคยสับสนปนเประหว่างเรื่องความบาปกับคนบาป พระเจ้าอาจจะผิดหวังในพฤติกรรมชีวิตของเรา แต่พระองค์ไม่เคยเดินหนีออกไปจากชีวิตของเรา "แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เราเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8 ฉบับมาตรฐาน)

ไม่มีความล้มเหลวในชีวิตที่รุนแรงแค่ไหนที่พระคุณของพระเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์ไปไม่ถึง เราสามารถมอบเรื่องที่ทำจนสับสนวุ่นวายให้กับพระเจ้า แล้วเราจะประหลาดใจว่าพระองค์ทรงจัดการสิ่งที่เลวร้ายให้เป็นสิ่งที่สวยงามได้

การตายบนกางเขนของพระคริสต์ดูแล้วเป็นความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง พระองค์ถูกแขวนประจานบนกางเขน อีกทั้งยังถูกทอดทิ้งจากพระบิดา ฝูงชนที่โกลาหลกล่าวร้ายว่าพระองค์เป็นคนลวงโลก พระคริสต์ได้เตือนเหล่าสาวกแล้วว่า วันแห่งความมืดจะเข้ามา และยังบอกอีกว่านี่มิใช่จุดจบของเหตุการณ์นี้ แต่เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น ฉันสงสัยว่าสาวกที่ติดตามพระองค์เชื่อมากน้อยแค่ไหนในสิ่งที่พระองค์ได้บอกพวกเขาไว้แล้ว แต่ในที่สุดพวกเขาก็เรียนรู้ว่า "...ในทุกๆ สิ่งพระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์"

นี่คือประเด็น ท่ามกลางสถานการณ์ที่เราดูเหมือนว่าเลวร้ายและล้มเหลว ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์จริง หรือ ที่เราจินตนาการเอง ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่รุนแรง หรือ เล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นเพราะความผิดของเราหรือของใครก็ตาม แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วทุกคนเป็นคนที่มีคุณค่า ไม่ว่าผู้คนจะว่าคนนั้นเป็นคนเช่นไรก็ตาม แต่พระองค์บอกว่า ผู้ที่ยอมรับเอาพระประสงค์ของพระองค์ในทุกสถานการณ์จะเป็นผู้มีชัย ดั่งพระคริสต์ยอมรับตามพระประสงค์ของพระบิดา และทรงมีชัยเหนือความตายในที่สุด


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่

ข้อเขียนนี้เรียบเรียง และ สะท้อนคิดจากบทความเรื่อง “Facing Failure” ของ Verla Wallace

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น