ในช่วงทศวรรษ 1930ได้มีการตัดสินคดีที่ไม่ได้เป็นไปตามกระบวนการปกติคดีหนึ่ง...
หญิงสูงอายุคนหนึ่งถูกจับในฐานะขโมยขนมปังหนึ่งแถว ฟังไปแล้วเธอก็มีเหตุผลอยู่ เธอมีครอบครัวที่ยากจน ต้องดูแลลูกสาวกับหลานน้อยอีกสองคนที่ถูกพ่อทิ้งหนีไป
แต่เจ้าของร้านปฏิเสธที่จะเลิกราการเอาผิดกับหญิงคนนี้ เขาคิดว่า
ถ้าคนที่ขโมยของผู้อื่นแล้วถูกปล่อยตัวให้ลอยนวลไปได้ จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่นๆ แล้วจะมีคนเอาเป็นแบบอย่าง
หรือที่จะอ้างเหตุผลในทำนองนี้ เจ้าของร้านกลัวว่า เขาจะไม่ได้รับความปลอดภัยอีกทั้งเป็นภัยต่อธุรกิจของเขา
แล้วเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ...
ในวันนั้นที่ศาล ท่านเทศมนตรี แห่งนิวยอร์ก Fiorello LaGuardia
ท่านเป็นผู้ตัดสินคดีเพ่งในศาลเป็นครั้งคราว วันนี้ท่านได้ปรากฏตัวในศาลเพื่อพิจารณาตัดสินคดีนี้
ที่ผ่านมาท่านได้พิจารณาหลายคดีอย่างน่าสนใจ
ประชาชนรักท่านและเป็นที่รู้กันว่าท่านมีจุดยืนที่มั่นคงและยุติธรรม
ในการพิจารณาและตัดสินคดีความในวันนี้ ท่านได้มาที่หน้าบัลลังก์ศาล ถอดหมวกของท่านแล้ววางลง เริ่มพิจารณาคดี
ท่านกล่าวว่า “เจ้าของร้านพูดถูกว่า
คนที่กระทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ”
แล้วหันหน้าไปพูดกับหญิงคนนั้นว่า “คุณจะต้องรับโทษถูกจำขังในคุก 10 วัน หรือไม่ก็ต้องถูกปรับเป็นเงิน
10 เหรียญ”
หญิงสูงอายุคนนี้รู้ว่าเธอต้องเลือกถูกจำคุก
10 วัน เพราะเงิน 10 เหรียญนั้นมากเกินกว่าที่เธอจะหามาได้
เจ้าของร้านแสดงสีหน้าพอใจและชื่นชมต่อคำพิพากษานั้น
แต่คนในศาลไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ขณะที่ท่านเทศมนตรีผู้ตัดสินคดีนี้ด้วยคำพิพากษาชัดถ้อยชัดคำนั้น ท่านก็ล้วงเงินออกจากกระเป๋ากางเกงของท่าน 10 เหรียญ แล้ววางธนบัตร 10 เหรียญนั้นลงในหมวก
แล้วประกาศว่า “ค่าปรับการกระทำผิดของหญิงคนนี้ได้รับการชำระแล้ว”
ทุกคนในศาลมองไปที่ท่านเทศมนตรีด้วยความงงงวย
ส่วนสีหน้าของเจ้าของร้านถอดสีซีดลง
ท่านเทศมนตรีจะหักหลังประชาชนเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในเมื่อนักธุรกิจคนนี้ได้เสียภาษีเพื่อใช้เป็นเงินในการบริหารบ้านเมือง แล้วหญิงยากจนคนนี้ที่ขโมย
ทำผิดกฎหมายกลับได้รับการปล่อยตัวอย่างลอยนวล
เธอไม่ได้รับการลงโทษแต่อย่างไร
เรื่องเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
ผู้คนในศาลต่างไม่เข้าใจการตัดสินคดีของท่านเทศมนตรีในวันนั้น แต่ท่านเทศมนตรีกล่าวต่อไปว่า...
“นอกจากที่ค่าปรับ 10 เหรียญได้รับการชำระแล้ว
ข้าพเจ้าขอปรับทุกคนที่อยู่ในศาลนี้คนละ 50เซนต์”
ผู้คนในศาลตกใจมากกว่าเดิมอีก แต่ท่านเทศมนตรีกล่าวต่อไปว่า
“เพราะคนที่อยู่ในเมืองนี้ปล่อยปละละเลยให้มีคุณยายที่ต้องออกมาขโมยขนมปังเพื่อไปเลี้ยงลูกสาวและหลานสองคนให้มีชีวิตรอด...
เจ้าหน้าที่ศาลให้เก็บค่าปรับจากทุกคนที่อยู่ในศาลนี้ แล้วนำไปมอบให้แก่จำเลย”
เรื่องข้างต้นนี้หลายคนเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่ผมไม่สามารถที่จะอ้างอิงหลักฐานชัดเจนได้
แต่ที่สำคัญคือ เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เรื่องนี้ได้ให้บทเรียนชีวิตที่สำคัญแก่เราถึงความเมตตาและความรับผิดชอบด้วยทั้งชีวิตของเรา ผมอ่านเรื่องนี้ที่ Chris Cadeนำมาเล่า ชื่อเรื่อง
“ทำไม...ขโมยได้รับรางวัล
แต่เหยื่อต้องได้รับโทษ?” (Thief
rewarded. Victim punished. WHY???)
วันนี้...ท่านเสียค่าปรับ
50เซนต์หรือยังครับ?
18จงฟังสิ พวกเจ้าคนหูหนวก
และจงมองดูสิ พวกเจ้าคนตาบอด เพื่อจะได้เห็น
19ใครเป็นคนตาบอด
ถ้าไม่ใช่ผู้รับใช้ของเรา?
หรือใครหูหนวกเช่นเดียวกับทูตของเราที่เราใช้ไป?
ใครตาบอดเช่นเดียวกับผู้ผูกพันกับเรา?
หรือตาบอดเช่นเดียวกับผู้รับใช้ของพระยาห์เวห์?
20เจ้าเห็นหลายอย่าง
แต่ไม่ได้สังเกต
หูของเจ้าผึ่ง แต่ไม่ได้ยิน(อิสยาห์ 42:18-20 มตฐ.)
1 ดูสิ ผู้รับใช้ของเรา ผู้ซึ่งเราเชิดชู
ผู้เลือกสรรของเรา ผู้ซึ่งใจเราปีติยินดี
เราเอาวิญญาณของเราใส่ไว้บนท่าน
ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปยังบรรดาประชาชาติ
(อิสยาห์ 42:1 มตฐ.)
3 ไม้อ้อช้ำแล้ว
ท่านจะไม่หัก
และไส้ตะเกียงริบหรี่นั้น ท่านจะไม่ดับ
ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความซื่อสัตย์
4 ท่านจะไม่อ่อนล้า หรือชอกช้ำ
จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก
และแผ่นดินชายทะเลรอคอยธรรมบัญญัติของท่าน
(อิสยาห์ 42:3-34 มตฐ.)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น