จิตใจเป็นรากฐานแห่งชีวิตจิตวิญญาณของผู้นำ
จิตใจเป็นแหล่งแห่งพลังขับเคลื่อนความปรารถนาที่จะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าและการรับใช้ในแผ่นดินของพระองค์
คนส่วนใหญ่จึงรู้สึกถึงว่าการทรงเรียกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ
ขอตั้งข้อสังเกตในที่นี้ว่า
สิ่งที่ออกมาจากส่วนลึกแห่งจิตใจของเราบางครั้งก็เป็นความคิด หรือ
มุมมองชีวิตที่เลวร้ายไม่ถูกต้อง
แม้ในเวลาที่กำลังกระทำพันธกิจคริสตจักรอยู่ก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้
มีเรื่องเกิดกับเพื่อนร่วมงานของผมคนหนึ่ง เขาเป็นผู้นำในหน่วยงานหนึ่ง เหตุการณ์ทำให้เพื่อนคนนั้นของผมถึงกับ
“เสียเส้น” เสียความรู้สึกอย่างแรง
ผมคิดว่าพวกเราคงเคยมีประสบการณ์เช่นนั้นมาแล้ว เพื่อนผมแสดงออกถึงอารมณ์ที่ชัดและแรงในเวลานั้น
คนที่ทำให้เพื่อนผมคนนี้เกิดความรู้สึกเช่นนั้นมิได้อยู่ที่นั่นในเวลานั้น ขอบพระคุณพระเจ้าที่เขาไม่ได้อยู่เมื่อเพื่อนผมแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนรุนแรงเช่นนั้น
เพราะในเวลานั้น วิญญาณที่ควบคุมจิตใจของเขามิใช่วิญญาณที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นวิญญาณแห่งความเป็นปรปักษ์ที่ต้องการหักล้างทำลาย
ในเวลานั้นเพื่อนผมรู้สึกว่าตนเป็นฝ่ายถูก ถึงแม้ว่าเขาจะจัดการกับสถานการณ์นั้นไม่ค่อยเหมาะสมก็ตาม
ในฐานะผู้นำเราต้องสำนึกและตระหนักชัดเสมอว่า วิญญาณแห่งความเป็นปรปักษ์ มันซุ่มคอยทุกช่วงวินาทีที่จะเข้ามาควบคุมจิตใจจิตวิญญาณของเรา และทำทุกวิถีทางที่จะทำลายการรับใช้พระเจ้าอย่างมีประสิทธิภาพของเราเสีย และมักกระซิบอยู่ข้างหูของเราว่า
เป็นความชอบธรรมที่เราจะแสดงอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น
แต่เมื่อรู้ตัว คิดได้ว่า
ตนเองตกอยู่ในภาวะผู้นำที่ “นอตหลุด”
สิ่งที่เพื่อนของผมทำคือ
กลับมาหาพระวจนะของพระเจ้า
เพื่อแสวงหาพระประสงค์ของพระองค์
และขอการทรงช่วยกู้และสร้างใหม่จากพระองค์
และมั่นใจในพระสัญญาของพระองค์
เพื่อเขาจะกลับเป็นคนที่จะรับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ในสังคมโลกนี้ได้ ด้วยการอยู่ภายใต้การควบคุมของพระวิญญาณจากเบื้องบน
“ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์และ
ขอทรงสร้างจิตใจหนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์”
(สดุดี 51:10 มตฐ)
“ข้าแต่พระยาห์เวห์
ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินในความจริงของพระองค์
ขอทรงรวมใจของข้าพระองค์เป็นใจเดียว
ให้ยำเกรงพระนามของพระองค์”(สดุดี
86:11 มตฐ)
และพระวจนะของพระเจ้าสัญญาว่า...
“เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และ
เราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ภายในเจ้าทั้งหลาย
เราจะนำใจหินออกจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า”
(เอเสเคียล36:26 มตฐ)
ในการเป็นผู้นำที่รับใช้
เราต้องตระหนักเสมอว่า
เราต้องรับใช้ก่อนแล้วค่อยนำ
เพราะจิตใจที่รับใช้
เป็นจิตใจที่ถ่อมลง “ยอม”
ที่จะฟัง ยอมที่จะเอื้ออาทร ยอมที่จะเข้าใจคนอื่น ยอมที่จะให้
แล้วค่อยตามด้วยการนำที่มีความมุ่งหมายที่จะรับใช้คนอื่น
ตรงกันข้าม ถ้าเราเป็นผู้นำที่ใช้การนำก่อน เรามักหลงลืมตัวที่จะใช้อภิสิทธิ์อิทธิพลในการนำ ทำตัวเหนือคนอื่น คิดว่าตนมีอำนาจจะตัดสินใจได้ เราต้องการให้คนอื่นทำตามที่เราต้องการ และถ้ามีการรับใช้เรามักผูกติดกับความเป็นบุญคุณที่เราทำบางอย่างเพื่อเขา การเป็นผู้นำที่นำก่อนจึงละเลยจิตใจและจิตวิญญาณที่รับใช้
จึงไม่น่าแปลกใจนักที่ผู้นำประเภทนี้ต้องการตำแหน่ง
หรือสิ่งค้ำเสริมหนุนให้ตนมีอิทธิพลเหนือคนอื่น
เราต้องเรียนรู้จากแบบอย่างการรับใช้ของพระคริสต์ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงเลือกและเรียกเราให้เป็นผู้นำ มิเพียงเพื่อให้เราเข้มแข็งและสามารถทำงานได้ แต่พระองค์ประสงค์ให้เรามอบทั้งกายและถวายทั้งชีวิตจิตใจทั้งสิ้นของเราแด่พระองค์ และเราต้องตระหนักชัดในทุกขณะจิตว่าเรากำลังทำงานและรับใช้ใครกันแน่?
ใครคือผู้ที่ควบคุมความเป็นไปในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเราเองหรือพระคริสต์?
ในพระธรรมโคโลสีเตือนเราให้ตระหนักชัดว่า
“ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด
ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่า...
ท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่”
(โคโลสี
3:23-24 มตฐ)
ประเด็นอภิปราย
1. ที่ว่ารับใช้ก่อนและนำทีหลังนั้นเป็นอย่างไรสำหรับท่าน?
ท่านตระหนักในสิ่งนี้เมื่อท่านทำพันธกิจหรือไม่ อย่างไร?
2. การเป็นคนรับใช้สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการทรงเรียกให้ท่านเป็นผู้นำอย่างไรบ้าง?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น