21 ตุลาคม 2556

เมื่อผู้รับใช้(สมาชิก)ไม่ได้ทำหน้าที่

อ่าน เอเฟซัส 4:11-16
                                                                                             
11...พระ​องค์​เอง​ประ​ทาน​ให้​บาง​คน​เป็น​อัคร​ทูต
บาง​คน​เป็น​ผู้​เผย​พระ​วจนะ
บาง​คน​เป็น​ผู้​ประกาศ​ข่าว​ประเสริฐ
บาง​คน​เป็น​ศิษยาภิบาล​และ​อา​จารย์   

12 เพื่อ​เตรียม​ธรรมิก​ชน(ประชากรของพระเจ้า) ​สำ​หรับ​การ​ปรนนิบัติ(พันธกิจการรับใช้)​ และ​
การ​เสริม​สร้าง​พระ​กาย​ของ​พระ​คริสต์
(เอเฟซัส 4:11-12 มตฐ. ในวงเล็บเป็น อมต.)

ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน   เติบโตในคริสตจักรคณะที่มีการสืบทอดความเชื่อมายาวนาน   ดังนั้นก็มี ธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติค่อนข้างแน่ชัดตายตัว   ผมได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักในคริสตจักรที่มี “อาจารย์” เป็นศิษยาภิบาล   

ผมเรียนรู้ตั้งแต่เป็นเด็กในคริสตจักรว่าใครคือ “อาจารย์” ในคริสตจักรของเรา   ก็คือคนที่ทุกเช้าวันอาทิตย์จะใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินแล้วมีแถบเส้นสีขาว   เป็นคนที่นั่งข้างหน้าที่นมัสการ   นำอธิษฐานที่ยืดยาว  แล้วเป็นคนเทศนา  สมาชิกจะเรียกท่านว่า “อาจารย์”   เป็นที่รู้ดีและเข้าใจกันในคริสตจักรว่า ท่านเป็นผู้นำและเป็นผู้ขับเคลื่อนพันธกิจในคริสตจักรของเรา

เมื่อผมโตมาภายหลัง   เริ่มเห็นว่าหน้าชื่อของ “อาจารย์” ของคริสตจักรบางท่านก็มีคำย่อว่า ศจ.  ที่เขาบอกว่าย่อมาจากตำแหน่งศาสนาจารย์   บ้างก็มีมีคำย่อว่า ดร. เขาบอกว่าคนนี้ได้รับปริญญาเอก

แต่อย่างไรก็ตาม ผมเข้าใจว่า  “อาจารย์” ของคริสตจักร ท่านเป็นผู้ที่หนุนเสริมเพิ่มกำลังใจแก่เรา  สอนเรา  อธิษฐานเพื่อเรา  และเป็นผู้นำและขับเคลื่อนชีวิตและการทำพันธกิจในคริสตจักรของเรา   ท่านเป็น “ผู้อภิบาล”  เป็นผู้ดูและเอาใจใส่ชีวิตของเรา   แล้วเราผู้เป็นสมาชิกคริสตจักรได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่จากอาจารย์ในคริสตจักร

ต่อมาภายหลัง   เมื่อผมเติบโตเป็นวัยรุ่นแล้วเป็นผู้ใหญ่   ในคริสตจักรเริ่มใช้คำว่า “ศิษยาภิบาล”   และมีอาจารย์ท่านหนึ่งในพระคริสต์ธรรมที่ผมมีโอกาสสนทนาด้วยและเรียนพระคัมภีร์กับท่านเป็นบางครั้ง   ท่านเน้นว่า  “อาจารย์” ในคริสตจักรเป็นศิษยาภิบาล  คือผู้ที่จะเอาใจใส่ เลี้ยงดูความคิด ความเชื่อ  ปลูกฝังมุมมองทัศนคติต่อชีวิต  ต่อโลก  ต่อสังคมที่เราดำเนินชีวิตแก่สมาชิกแต่ละคนในคริสตจักร   นอกจากนั้นแล้ว   ศิษยาภิบาลยังต้องรับผิดชอบในการบ่มเพาะ  ฝึกฝน  เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ให้ทำพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย   ด้วยกำลัง ความสามารถที่มีหลากหลายแตกต่างกันตามของประทานในชีวิตสมาชิกแต่ละคน  

คำสอนนี้เป็นคำสอนใหม่สำหรับผมครับ   ยิ่งกว่านั้นเป็นคำสอนที่แตกต่างจากที่ผมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า “อาจารย์ในคริสตจักร”  คือผู้ที่รับใช้ทำพันธกิจของพระเจ้าในคริสตจักร   พูดกันง่ายๆ คือผู้ที่ทำงานของพระเจ้า แต่คำสอนใหม่นี้กลับสอนว่า  หน้าที่ความรับผิดชอบของ “อาจารย์ในคริสตจักร”  หรือ “ศิษยาภิบาล”  คือผู้ที่ต้องบ่มเพาะ ฟูมฟัก  เอาใจใส่  และสร้างเสริมสมาชิกแต่ละคนให้เป็นคน “ทำงานรับใช้พระเจ้า” หรือ ที่เรียกเท่ๆ ว่า “ทำพันธกิจ” ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ผู้เชื่อแต่ละคนรับผิดชอบ

พูดให้สั้น  ผมเข้าใจคำสอนใหม่นี้ว่า หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นผู้  “สร้างสมาชิกให้สามารถทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายและต้องการให้คริสตจักรกระทำ” ครับ  มิใช่ สมาชิกคริสตจักรโยนให้ “อาจารย์ในคริสตจักร”  รับผิดชอบไปทำเอง  หรือเอาทีมอภิบาลลงไปทำเท่านั้นครับ แต่ศิษยาภิบาลต้องเตรียมและเสริมสร้าง  ฝึกฝนสมาชิกแต่ละคนให้เป็นคนที่ทำพันธกิจรับใช้พระเจ้าในชีวิตประจำวัน  ในครอบครัว  ในงานอาชีพ  และทั้งในคริสตจักร ชุมชน  ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แต่ละคนในคริสตจักรกระทำและรับผิดชอบครับ  

อาจารย์ที่พระคริสต์ธรรมได้สอนเรื่องนี้จากพระคัมภีร์หลายตอน   และตอนที่ท่านมักเน้นเสมอคือ เอเฟซัส 4:11-12 

กล่าวได้ว่า ศิษยาภิบาล หรือ อาจารย์ในคริสตจักรก็เป็นผู้ที่อภิบาลเสริมสร้างชีวิตสมาชิก  เป็นทั้งครู และ ทั้งโค้ช  หล่อหลอมชีวิตประชากรของพระเจ้าให้เป็น “คนรับใช้ด้วยการทำพันธกิจ” ที่พระองค์ทรงมอบหมายตามพระประสงค์ในชีวิตของแต่ละคน  และชีวิตร่วมกันในคริสตจักรด้วย

คริสตจักรไทยเราคุ้นเคยในการใช้อีกคำหนึ่งเกี่ยวกับคนที่ทำพันธกิจของพระคริสต์  คือ “ผู้รับใช้ของพระเจ้า”   ซึ่งโดยทั่วไปส่วนใหญ่เรามักเข้าใจว่า ศิษยาภิบาล หรือ อาจารย์ในคริสตจักรคือผู้รับใช้ของพระเจ้า   ส่วนสมาชิกไม่ใช่คนรับใช้ของพระเจ้า   

แต่ตามพระธรรมตอนนี้เปาโลกล่าวว่า   ศิษยาภิบาลคือผู้รับใช้จากพระเจ้าให้มาเสริมสร้างและหล่อหลอมชีวิตของสมาชิกแต่ละคนให้เป็นผู้รับใช้ที่ทำงานร่วมกัน  ทั้งในชุมชนคริสตจักรของพระองค์  และในครอบครัว  ชุมชน  และในที่ทำงาน พระองค์มิได้มอบหมายให้ศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น   

แต่ทรงมอบหมายให้มาสร้างแต่ละคนในคริสตจักร  เป็นคนร่วมในการทำพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายครับ

ถ้าเป็นเช่นนี้   สมาชิกคริสตจักรเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตน   แล้วโยนความรับผิดชอบไปให้ “ศิษยาภิบาล” เป็นคนทำแต่ผู้เดียว   น่าเห็นใจครับ   แต่ก็เกิดคำถามว่า สิ่งนี้เกิดขึ้น...

1. เพราะสมาชิกไม่ได้ร่วมในการรับใช้ในพันธกิจตามที่เปาโลสอนหรือเปล่า?  หรือ
2. เพราะศิษยาภิบาลมิได้เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นคน “รับใช้” อย่างที่พระเจ้าจะทรงใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์หรือเปล่า?   หรือ
3. เพราะศิษยาภิบาลไม่เข้าใจในเรื่องนี้   เลยไม่ได้บ่มเพาะ  เสริมสร้าง และฝึกฝนสมาชิกให้เป็นผู้รับใช้?   เลยต้องทำงานรับใช้ในพันธกิจทั้งหลายที่หนักหน่วงเพียงคนเดียว?   หรือ
4. เพราะสมาชิกคริสตจักร “ดื้อรั้น” ไม่ยอมดำเนินชีวิตอย่างที่ศิษยาภิบาลสอนและเสริมสร้าง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น