อ่าน
เอเฟซัส 4:11-16
11...พระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต
บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ
บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ
บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์
12 เพื่อเตรียมธรรมิกชน(ประชากรของพระเจ้า) สำหรับการปรนนิบัติ(พันธกิจการรับใช้)
และ
การเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:11-12 มตฐ. ในวงเล็บเป็น อมต.)
ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน เติบโตในคริสตจักรคณะที่มีการสืบทอดความเชื่อมายาวนาน ดังนั้นก็มี ธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติค่อนข้างแน่ชัดตายตัว ผมได้รับการเลี้ยงดูฟูมฟักในคริสตจักรที่มี
“อาจารย์” เป็นศิษยาภิบาล
ผมเรียนรู้ตั้งแต่เป็นเด็กในคริสตจักรว่าใครคือ
“อาจารย์” ในคริสตจักรของเรา ก็คือคนที่ทุกเช้าวันอาทิตย์จะใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงินแล้วมีแถบเส้นสีขาว เป็นคนที่นั่งข้างหน้าที่นมัสการ นำอธิษฐานที่ยืดยาว แล้วเป็นคนเทศนา สมาชิกจะเรียกท่านว่า “อาจารย์” เป็นที่รู้ดีและเข้าใจกันในคริสตจักรว่า
ท่านเป็นผู้นำและเป็นผู้ขับเคลื่อนพันธกิจในคริสตจักรของเรา
เมื่อผมโตมาภายหลัง เริ่มเห็นว่าหน้าชื่อของ “อาจารย์”
ของคริสตจักรบางท่านก็มีคำย่อว่า ศจ.
ที่เขาบอกว่าย่อมาจากตำแหน่งศาสนาจารย์
บ้างก็มีมีคำย่อว่า ดร. เขาบอกว่าคนนี้ได้รับปริญญาเอก
แต่อย่างไรก็ตาม
ผมเข้าใจว่า “อาจารย์” ของคริสตจักร ท่านเป็นผู้ที่หนุนเสริมเพิ่มกำลังใจแก่เรา สอนเรา
อธิษฐานเพื่อเรา และเป็นผู้นำและขับเคลื่อนชีวิตและการทำพันธกิจในคริสตจักรของเรา ท่านเป็น “ผู้อภิบาล” เป็นผู้ดูและเอาใจใส่ชีวิตของเรา แล้วเราผู้เป็นสมาชิกคริสตจักรได้รับการเลี้ยงดู
เอาใจใส่จากอาจารย์ในคริสตจักร
ต่อมาภายหลัง เมื่อผมเติบโตเป็นวัยรุ่นแล้วเป็นผู้ใหญ่ ในคริสตจักรเริ่มใช้คำว่า “ศิษยาภิบาล” และมีอาจารย์ท่านหนึ่งในพระคริสต์ธรรมที่ผมมีโอกาสสนทนาด้วยและเรียนพระคัมภีร์กับท่านเป็นบางครั้ง ท่านเน้นว่า
“อาจารย์” ในคริสตจักรเป็นศิษยาภิบาล
คือผู้ที่จะเอาใจใส่ เลี้ยงดูความคิด ความเชื่อ ปลูกฝังมุมมองทัศนคติต่อชีวิต ต่อโลก
ต่อสังคมที่เราดำเนินชีวิตแก่สมาชิกแต่ละคนในคริสตจักร นอกจากนั้นแล้ว ศิษยาภิบาลยังต้องรับผิดชอบในการบ่มเพาะ ฝึกฝน
เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ให้ทำพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย ด้วยกำลัง ความสามารถที่มีหลากหลายแตกต่างกันตามของประทานในชีวิตสมาชิกแต่ละคน
คำสอนนี้เป็นคำสอนใหม่สำหรับผมครับ
ยิ่งกว่านั้นเป็นคำสอนที่แตกต่างจากที่ผมได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่า “อาจารย์ในคริสตจักร”
คือผู้ที่รับใช้ทำพันธกิจของพระเจ้าในคริสตจักร พูดกันง่ายๆ คือผู้ที่ทำงานของพระเจ้า แต่คำสอนใหม่นี้กลับสอนว่า หน้าที่ความรับผิดชอบของ
“อาจารย์ในคริสตจักร” หรือ “ศิษยาภิบาล” คือผู้ที่ต้องบ่มเพาะ ฟูมฟัก เอาใจใส่
และสร้างเสริมสมาชิกแต่ละคนให้เป็นคน “ทำงานรับใช้พระเจ้า” หรือ
ที่เรียกเท่ๆ ว่า “ทำพันธกิจ” ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ผู้เชื่อแต่ละคนรับผิดชอบ
พูดให้สั้น ผมเข้าใจคำสอนใหม่นี้ว่า หน้าที่ของศิษยาภิบาลคือผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เป็นผู้
“สร้างสมาชิกให้สามารถทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายและต้องการให้คริสตจักรกระทำ”
ครับ มิใช่ สมาชิกคริสตจักรโยนให้
“อาจารย์ในคริสตจักร” รับผิดชอบไปทำเอง หรือเอาทีมอภิบาลลงไปทำเท่านั้นครับ แต่ศิษยาภิบาลต้องเตรียมและเสริมสร้าง ฝึกฝนสมาชิกแต่ละคนให้เป็นคนที่ทำพันธกิจรับใช้พระเจ้าในชีวิตประจำวัน ในครอบครัว
ในงานอาชีพ และทั้งในคริสตจักร
ชุมชน ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แต่ละคนในคริสตจักรกระทำและรับผิดชอบครับ
อาจารย์ที่พระคริสต์ธรรมได้สอนเรื่องนี้จากพระคัมภีร์หลายตอน และตอนที่ท่านมักเน้นเสมอคือ เอเฟซัส 4:11-12
กล่าวได้ว่า ศิษยาภิบาล
หรือ อาจารย์ในคริสตจักรก็เป็นผู้ที่อภิบาลเสริมสร้างชีวิตสมาชิก เป็นทั้งครู และ ทั้งโค้ช หล่อหลอมชีวิตประชากรของพระเจ้าให้เป็น
“คนรับใช้ด้วยการทำพันธกิจ”
ที่พระองค์ทรงมอบหมายตามพระประสงค์ในชีวิตของแต่ละคน และชีวิตร่วมกันในคริสตจักรด้วย
คริสตจักรไทยเราคุ้นเคยในการใช้อีกคำหนึ่งเกี่ยวกับคนที่ทำพันธกิจของพระคริสต์ คือ “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” ซึ่งโดยทั่วไปส่วนใหญ่เรามักเข้าใจว่า ศิษยาภิบาล
หรือ อาจารย์ในคริสตจักรคือผู้รับใช้ของพระเจ้า
ส่วนสมาชิกไม่ใช่คนรับใช้ของพระเจ้า
แต่ตามพระธรรมตอนนี้เปาโลกล่าวว่า
ศิษยาภิบาลคือผู้รับใช้จากพระเจ้าให้มาเสริมสร้างและหล่อหลอมชีวิตของสมาชิกแต่ละคนให้เป็นผู้รับใช้ที่ทำงานร่วมกัน ทั้งในชุมชนคริสตจักรของพระองค์ และในครอบครัว
ชุมชน และในที่ทำงาน พระองค์มิได้มอบหมายให้ศิษยาภิบาลเป็นผู้รับใช้เพียงคนเดียวเท่านั้น
แต่ทรงมอบหมายให้มาสร้างแต่ละคนในคริสตจักร เป็นคนร่วมในการทำพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายครับ
ถ้าเป็นเช่นนี้ สมาชิกคริสตจักรเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของตน แล้วโยนความรับผิดชอบไปให้ “ศิษยาภิบาล”
เป็นคนทำแต่ผู้เดียว น่าเห็นใจครับ แต่ก็เกิดคำถามว่า สิ่งนี้เกิดขึ้น...
1. เพราะสมาชิกไม่ได้ร่วมในการรับใช้ในพันธกิจตามที่เปาโลสอนหรือเปล่า?
หรือ
2. เพราะศิษยาภิบาลมิได้เสริมสร้างให้สมาชิกแต่ละคนเป็นคน “รับใช้” อย่างที่พระเจ้าจะทรงใช้ตามพระประสงค์ของพระองค์หรือเปล่า? หรือ
3. เพราะศิษยาภิบาลไม่เข้าใจในเรื่องนี้
เลยไม่ได้บ่มเพาะ เสริมสร้าง
และฝึกฝนสมาชิกให้เป็นผู้รับใช้?
เลยต้องทำงานรับใช้ในพันธกิจทั้งหลายที่หนักหน่วงเพียงคนเดียว? หรือ
4. เพราะสมาชิกคริสตจักร “ดื้อรั้น”
ไม่ยอมดำเนินชีวิตอย่างที่ศิษยาภิบาลสอนและเสริมสร้าง?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น