7
พระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์จึงออกจากที่นั่นไปยังทะเลสาบ คนจำนวนมากจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปด้วย
รวมทั้งคนจากแคว้นยูเดีย 8 จากกรุงเยรูซาเล็มและจากอิดูเมอา
จากแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออก
และจากดินแดนรอบเมืองไทระและเมืองไซดอน ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นก็มาหาพระองค์ (มาระโก 3:7-8
มตฐ.)
อะไรที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากติดตามพระเยซู?
อะไรที่เป็นพลังในตัวของพระเยซูที่ดึงดูดผู้คนเข้ามาหาพระองค์?
ผู้นำทั้งหลายทุกวันนี้ต่างต้องการมี
“เสน่ห์” มีบุคลิกที่จูงใจให้ผู้คนเข้ามาหาตนเอง
แต่คำถามมักอยู่ที่ว่า
แล้วเสน่ห์ที่ว่านั้น หรือ พลังดึงดูดคนอื่นให้เข้ามาหาตนเองนั้นจะมีได้อย่างไร บ้างก็เข้าใจว่า “เสน่ห์” หรือ “แรงดึงดูดผู้คนเข้ามาหาตน”
นั้น
เป็นสิ่งที่บางคนได้รับมาตั้งแต่เกิด
นั่นก็หมายความว่าบางคนจะไม่มีสิ่งนี้
แต่ “เสน่ห์” หรือ “แรงดึงดูดคนอื่นเข้ามาตนเอง”
นั้นเป็นบุคลิกลักษณะหนึ่งในตัวคนเราแต่ละคน
จะเด่นหรือด้อยในเรื่องนี้เกิดจากการที่เจ้าตัวเลือกว่าตนจะเป็นคนแบบไหนอย่างไรมากกว่า
หรือกล่าวฟันธงก็คือว่าเป็นบุคลิกที่สามารถพัฒนาได้ครับ
“เสน่ห์”
หรือ “พลังดึงดูดผู้คนเข้าหาตนเอง” นั้นเป็นสัมพันธภาพของทั้งผู้นำและผู้พบเห็น
เวลาใดที่บุคลิกลักษณะของผู้นำเป็นที่ถูกตาต้องใจของคนรอบข้าง เขากลายเป็นคนที่มีเสน่ห์แก่ผู้คนที่พบเห็น นั่นหมายความว่า “พลังดึงดูด”
ดังกล่าวเกิดจากบุคลิกของผู้นำที่คนรอบข้างสัมผัสได้ว่า
“เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับตน
เป็นบุคลิกที่ตนชื่นชอบ
เป็นบุคลิกที่ไม่เห็นแก่ตัวแต่มีจิตเมตตาเอื้ออำนวยคุณค่า และ คุณประโยชน์แก่ผู้อื่นรอบข้าง
เป็นผู้นำที่มีบุคลิกมั่นคงบนจุดยืนชีวิตของตนเอง มีอารมณ์ที่หนักแน่น
ยอมรับคนอื่นตามที่เขาเป็นแม้จะไม่ได้เป็นคนสมบูรณ์พูนพร้อมตามที่ตนต้องการก็ตาม
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกว่า
“...ผู้คนมากมายเมื่อได้ยินถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นก็มาหาพระองค์” (ข้อ 8)
การกระทำของพระเยซูคริสต์เป็นพลังดึงดูดให้ประชาชนติดตามพระองค์ ลักษณะเด่นประการแรกของพระเยซูคริสต์คือ พระองค์ทรงมีชีวิตที่เคียงข้างคนต่ำต้อยยากจนเจ็บป่วย พระราชกิจของพระองค์ทรงกระทำแก่คนเล็กน้อยด้อยค่าที่คนมีอำนาจปฏิเสธ เป็นกลุ่มคนที่ถูกกีดกันออกจากสังคม ออกจากชุมชนศาสนายิวในเวลานั้น และนี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดใจคน
แต่ตรงกันข้ามกลับกลายเป็น
“แรงผลัก” ให้ผู้คนที่รู้สึกว่าพระองค์เป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคง เด่นดังในชีวิตของตนให้ห่างไปจากพระองค์ อย่างเช่นพวกฟาริสี พวกที่ปากบอกว่าไม่ชอบการเมืองอย่างพวกโรมัน แต่คบค้ากับพวกนักการเมืองที่หากินกับศาสนาอย่างพวกของเฮโรด แล้วทำตัวแบบนักการเมืองในสภา(ศาสนา)ซันเฮดริน
พวกเขาจึงหาช่องทางที่จะฆ่าพระเยซูเสีย เป็นต้น
ลักษณะเด่นของพระเยซูคริสต์ประการที่สองคือ การกระทำของพระองค์เป็นการกระทำจากจิตใจที่รักเมตตาที่สวนกระแสกับคำสอนของพวกผู้นำศาสนายิวในเวลานั้น
พระเยซูทรงมีจิตใจที่รักเมตตาแก่ทั้งคนดีและคนเลวบาปชั่ว
พระองค์ทรงให้โอกาสชีวิตแก่ทุกคนที่มาสัมพันธ์และสัมผัสกับพระองค์ และนี่จึงเป็นแรงดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้ามาหาและติดตามพระองค์ เพราะเขาสำนึกในพระคุณทั้งๆที่เขาไม่สมควรจะได้รับโอกาสใหม่ในชีวิต
ทั้งนี้เพราะพระองค์มีจิตใจรักเมตตาเยี่ยงพระบิดา “...เพราะว่าพระองค์(พระบิดา)ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน
และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม” (มัทธิว 5:45)
ลักษณะเด่นของพระเยซูคริสต์ประการที่สามคือ ความถ่อมใจรับใช้คนอื่น
พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่แตกต่างจากผู้นำในสมัยนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้นำในศาสนาหรือบ้านเมืองก็ตาม พระองค์ปฏิเสธการเป็นผู้นำแบบเจ้านาย แต่พระองค์ยืนหยัดการมีชีวิตผู้นำแบบคนใช้ ทรงยอมเป็นคนใช้ล้างเท้าสาวก ทรงรับใช้แม้แต่คนต่างชาติ สตรีต่างชาติต่างวัฒนธรรม หรือแม้แต่คนที่ถูกตีตราไล่ออกไปให้พ้นจากสังคมของยิว
เช่น หญิงโสเภณี คนโรคเรื้อน
คนถูกผีเข้าผีสิง คนเก็บภาษี แม้แต่โจรที่กางเขน
ลักษณะเด่นของพระเยซูคริสต์ประการที่สี่คือ
ความกล้าหาญที่กล้าเสี่ยงและท้าทายสิ่งที่ผิด พระองค์กล้าที่จะสวนกระแสการตีความพระคัมภีร์ที่มีตามกระแสนิยมในเวลานั้น
ทรงท้าทายเรื่องคำสอนวันสะบาโตที่ไม่ให้ทำอะไรนอกจากประกอบศาสนพิธี แต่พระองค์ท้าทายว่า วันสะบาโตมีไว้เพื่อทำการดี เป็นโอกาสในการช่วยชีวิตผู้คน
พระองค์ท้าทายต่ออำนาจผู้นำศาสนาในเวลานั้นว่า
ชีวิตของผู้คนที่พระเจ้าประทานให้นั้นสำคัญยิ่งกว่าศาสนาพิธี ดังนั้น
ในวันสะบาโตคือวันที่จะกอบกู้และช่วยชีวิตของผู้คน
ลักษณะเด่นของพระเยซูคริสต์ประการที่ห้าคือ พระองค์มีชีวิตเพื่อจะให้ชีวิตแก่คนอื่นรอบข้าง มิใช่เพื่อจะปกป้องชีวิตตนเอง ปกป้องงานของตนเอง ปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และปกป้องอำนาจ ชื่อเสียงของตนเอง
ด้วยคุณลักษณะเช่นนี้ของพระคริสต์นี่เองที่เป็น
“เสน่ห์” และ “แรงดึงดูด” ผู้คนมากมายติดตามพระองค์
ในทางตรงกันข้าม ภาวะผู้นำที่สร้าง “แรงผลักดัน”
ผู้คนให้ออกห่างจากตนเอง คือ
ภาวะผู้นำที่หยิ่ง ผยอง: แน่นอนครับไม่มีใครอยากจะติดตามผู้นำที่คิดว่าตนเองดีเลิศประเสริฐศรีกว่าคนอื่นๆ
ภาวะผู้นำแบบไม้หลักปักขี้ควาย: พวกเงียบเพราะ “ปากอมสาก” ไม่พูดเพื่อรักษาตนเองให้ปลอดภัย ไม่มีใครอยากตามผู้นำที่โลเล ไม่มั่นคง
ไม่ชัดเจน แบบนี้
ภาวะผู้นำอารมณ์ร้าย:
ถ้าผู้คนไม่สามารถคาดหวังพึ่งพิงจากตัวผู้นำ เขาเลิกที่จะคาดหวังทุกอย่างจากองค์กร
ภาวะผู้นำแบบตามจิกลูกน้อง: คนเราต้องการผู้นำที่ติดตามงานแบบเข้าใจและเสริมสร้าง
แต่ไม่ต้องการผู้นำที่ติดตามงานแบบสร้างความกดดันแก่ลูกน้อง
ภาวะผู้นำเห็นแก่ตัว: ทำทุกอย่างเพื่อความสำเร็จตนเอง คิดทุกอย่างเพื่อปกป้องตนเอง เมื่อผู้คนพบว่าผู้นำทำเพื่อตนเอง เขาก็บอกกับตนเองว่า แล้วเราจะเสียเวลาตามผู้นำแบบนี้ไปทำไม
ภาวะผู้นำที่คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากคนอื่น: ไม่มีใครต้องการผู้นำที่คาดหวังว่าลูกน้องต้องเป็นคนสมบูรณ์แบบ เพราะเราก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ไม่มีใครที่จะเป็นคนสมบูรณ์แบบได้
และใครก็ไม่ต้องการถูกดดันให้ชีวิตและการทำงานต้องเครียดตลอดเวลา แต่ผู้คนต้องการผู้นำที่พร้อมยอมรับตามที่แต่ละคนเป็น
และมีน้ำใจที่จะหนุนเสริมเพิ่มพลังพัฒนาชีวิตการงานไปสู่ความสมบูรณ์ด้วยกัน
เราอาจจะต้องมีเวลานั่งลงสงบใจพิจารณาว่าเรามีภาวะผู้นำแบบไหน มีภาวะผู้นำที่มี “เสน่ห์” และ “มีพลังดึงดูด”
ผู้คนเข้ามาหาตนเอง หรือ มีภาวะผู้นำที่สร้างแต่ “พลังผลักดัน” ให้คนอื่นออกห่างไปจากตนเอง
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น