ภายหลังที่พระเยซูคริสต์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว สิ่งที่อัครทูตทำสิ่งแรกคือ การเลือกอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทนยูดาส น่าสังเกตว่า
เมื่อพวกเขาประมาณ 120 คนลงจากภูเขามะกอกเทศ เข้ามาในห้องชั้นบนที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว สิ่งที่พวกเขาทำคือ “พวกเขาอุทิศตัวอธิษฐานด้วยกัน
พร้อมกับพวกผู้หญิงและมารีย์มารดาของพระเยซูทั้งพวกน้องชายของพระองค์ด้วย”
(กิจการ 1:14 มตฐ.)
เนื่องจากยูดาส เสียใจที่ขายพระเยซูคริสต์จนพระองค์ต้องถูกตรึงที่กางเขน ในที่สุดเขาตัดสินใจไปผูกคอตายบนผืนนาที่ซื้อด้วยเงินที่เขาขายพระเยซูนั้น
สิ่งต่อมาที่อัครทูตและสาวกของพระคริสต์ทำคือ การเลือกคนหนึ่งขึ้นมาแทนยูดาสที่จากไปแล้ว
ในสถานการณ์การสูญเสียพระเยซูคริสต์
อัครทูตและสาวกของพระคริสต์มิได้กล่าวโทษยูดาส แต่พวกเขายังมองว่ายูดาสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในกระบวนเหตุการณ์พันธกิจที่เกิดขึ้น “เพราะเขานับยูดาสเข้าในกลุ่มเรา
และได้รับส่วนในพันธกิจนี้” (1:17)
แต่อัครทูตและสาวกได้มุ่งมองในการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทรงมอบหมายให้พวกเขาดำเนินการต่อ ดังนั้น เพื่อให้พระราชกิจของพระคริสต์ขับเคลื่อนต่อ สิ่งที่เขาเลือกทำคือ
หาคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่ในการขับเคลื่อนพระราชกิจของพระคริสต์ต่อไป
เมื่อคริสตจักรของพระเยซูคริสต์เกิดวิกฤติ
เกิดปัญหา
ชุมชนผู้เชื่อรุ่นแรกมิได้มองหา “แพะที่จะรับผิด”
แต่พวกเขามองหาคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เข้ามาร่วมในการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์
และนี่เองที่ทำให้พันธกิจคริสตจักรสามารถก้าวรุดไปข้างหน้า แทนที่จะจมจ่อมอยู่กับปัญหา อุปสรรค
หรือความขัดแย้งความไม่พอใจกันและกัน
แล้วมาเถียงกันว่าใครทำความผิดพลาดที่ผ่านมา
ชุมชนผู้เชื่อกลุ่มแรกได้วางเกณฑ์ในการคัดเลือก
คนที่จะขึ้นมาแทนยูดาส คน ๆ นั้นควรเป็นคนที่อยู่ร่วมในทีมงานของอัครทูตและสาวกของของพระคริสต์ตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงท้ายสุดคือ “...คนหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่กับเราตลอดเวลาที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้าออกท่ามกลางเรา
คือตั้งแต่บัพติสมาของยอห์น
จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปจากเรา
คนหนึ่งในคนเหล่านี้จะต้องเป็นพยานร่วมกับเราเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระองค์” (1:21-22)
แล้วเขาก็เลือกสองคนที่มีคุณสมบัติตามกำหนด น่าสังเกตว่า หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคือคนที่อยู่ร่วมในทีมงานตั้งแต่แรกถึงปัจจุบัน ใช้หลักเกณฑ์คนที่รู้และร่วมตลอดช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงสอนและเสริมสร้างทีมงาน แต่มิได้ใช้เกณฑ์ว่าเป็นคนของพวกไหน
บางคนที่อ่านพระธรรมตอนนี้แล้วไม่ค่อยสบายใจกับวิธีการของอัครทูตและสาวกพระคริสต์ เขาบอกว่าเขาเห็นด้วยกับการวางหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคน
แต่เขาไม่สบายใจกับการอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเลือกแล้วตัดสินเลือกด้วยการจับฉลาก?
ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า
จุดประสงค์เบื้องลึกที่อัครทูตและสาวกพระคริสต์กระทำเช่นนี้ที่แท้จริงต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกคน
ๆ นั้นที่จะมาแทนยูดาส
พวกเขามิได้เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในการจับฉลาก
แต่พวกเขาใช้วิธีการจับฉลากเป็นเพียงทางหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงสำแดงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์ ดังเราเห็นได้จากคำอธิษฐานของพวกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทุกคน
ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน ให้รับส่วนในพันธกิจนี้และรับหน้าที่เป็นอัครทูตแทนยูดาส...”
(1:24-25)
และในที่สุดฉลากตกอยู่กับมัทธีอัส
ปัจจุบันนี้
คริสตจักรของเราได้เลือกคนที่จะมาสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์อย่างอัครทูตและสาวกพระคริสต์หรือไม่
ก้นบึ้งในความต้องการของเราเราต้องการให้พระเจ้าทรงเลือกหรือไม่? หรือ ใจลึก ๆ แล้วเราต้องการให้คนทั้งหลายเลือก
“เรา” เราต้องการชนะเลือกตั้งในคริสตจักรใช่ไหม? เมื่อตอนหาเสียงก่อนการเลือกตั้งเราต่างพยายามแจงสรรพคุณ แผนการ
นโยบาย
ความคิดของเราให้คนที่จะเลือกตั้งเลือกเรา หรือบางคนถึงกับยอมถวายโน่นยอมให้นี่ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าตนจะทำประโยชน์เพื่อคนอื่น
เพื่อคริสตจักร และ
อะไรต่อมิอะไรมากมาย ถ้าเช่นนี้เรามีความจริงใจที่ต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่? แล้วเราจะบอกว่า ที่เราชนะเลือกตั้งในคริสตจักรเพราะพระเจ้าทรงเลือกเราได้หรือไม่? หรือถ้าจะถามตรงก็คงต้องถามว่า
ที่ชนะเลือกตั้งในคริสตจักรนั้นเป็นการทรงเลือกและทรงเรียกจากพระเจ้าแท้จริงหรือไม่?
ผมยอมรับว่า
ในเวลานั้น
คนที่เสนอตัวให้คริสตจักรเลือกทุกคนต่างต้องการทำงานรับใช้พระเจ้า
แต่ก็คงพูดยากว่าทุกคนพร้อมที่จะให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือก เพราะเราก็รู้เหมือนกับอัครทูตและสาวกพระคริสต์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทุกคน...” ดังนั้น
เราคงไม่กล้าที่จะอธิษฐานเช่นนั้นแน่
เพราะกลัวพระเจ้าจะทรงเลือกตามที่ทรงล่วงรู้ถึงความคิดในจิตใจของเรา แต่แรงกว่านั้นคือ
พระองค์ทรงรู้ว่าเราได้กระทำอะไรลงไปบ้าง
ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีผู้ที่เสนอตัวที่จะรับใช้พระเจ้าที่เชื่อและไว้วางใจในการทรงเลือกของพระเจ้าอย่างแท้จริงผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ถึงแม้เราบางคนพยายามที่จะบอกตนเองและเข้าข้างตนเอง แต่ในส่วนลึกมันมีเสียงฟ้องอยู่มิใช่หรือ?
พระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ระบบการเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือในการที่พระองค์จะเลือกใคร
หรือไม่เลือกใคร มิใช่หรือ? แต่พวกเราที่เชื่อในพระองค์เรามีทางเลือกว่า
เราจะมีใจสัตย์ซื่อและจริงใจต่อการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่? วิธีการเลือกไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การตระหนักชัดถึงการทรงรู้ทรงทราบลงลึกถึงจิตใจของเราทุกคน
และจิตใจความคิดของเราที่จะสัตย์ซื่อต่อการทรงเลือกของพระองค์ต่างหากที่สำคัญกว่า
ณ วันนี้
เราทุกคนยังมีโอกาส
เรายังมีโอกาสที่จะสัตย์ซื่อ จริงใจ
และทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจของเราเพื่อสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์บนแผ่นดินโลกนี้ เพื่อให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ พระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นเช่นไร ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก
แทนการสานสร้างอาณาจักรแห่งพรรคพวกของเราเท่านั้น
วันนี้
พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราทุกคนที่จะสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในคริสตจักร ในสถาบัน
และในหน่วยงานคริสเตียนต่างๆ
เพื่อนำผู้คนให้เข้ามาอยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า มีคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระองค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น