02 มิถุนายน 2558

แล้วพระเจ้าจะเลือกใคร?

ภายหลังที่พระเยซูคริสต์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว   สิ่งที่อัครทูตทำสิ่งแรกคือ   การเลือกอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทนยูดาส  น่าสังเกตว่า   เมื่อพวกเขาประมาณ 120 คนลงจากภูเขามะกอกเทศ   เข้ามาในห้องชั้นบนที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว   สิ่งที่พวกเขาทำคือ “พวก​เขา​อุทิศ​ตัว​อธิษ​ฐาน​ด้วย​กัน พร้อม​กับ​พวก​ผู้​หญิง​และ​มารีย์​มารดา​ของ​พระ​เยซู​ทั้ง​พวก​น้อง​ชาย​ของ​พระ​องค์​ด้วย” (กิจการ 1:14 มตฐ.)  

เนื่องจากยูดาส เสียใจที่ขายพระเยซูคริสต์จนพระองค์ต้องถูกตรึงที่กางเขน   ในที่สุดเขาตัดสินใจไปผูกคอตายบนผืนนาที่ซื้อด้วยเงินที่เขาขายพระเยซูนั้น   สิ่งต่อมาที่อัครทูตและสาวกของพระคริสต์ทำคือ   การเลือกคนหนึ่งขึ้นมาแทนยูดาสที่จากไปแล้ว

ในสถานการณ์การสูญเสียพระเยซูคริสต์   อัครทูตและสาวกของพระคริสต์มิได้กล่าวโทษยูดาส   แต่พวกเขายังมองว่ายูดาสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมในกระบวนเหตุการณ์พันธกิจที่เกิดขึ้น  “เพราะ​เขา​นับ​ยูดาส​เข้า​ใน​กลุ่ม​เรา และ​ได้​รับ​ส่วน​ใน​พันธ​กิจ​นี้” (1:17)   แต่อัครทูตและสาวกได้มุ่งมองในการสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ที่ทรงมอบหมายให้พวกเขาดำเนินการต่อ   ดังนั้น เพื่อให้พระราชกิจของพระคริสต์ขับเคลื่อนต่อ   สิ่งที่เขาเลือกทำคือ หาคนหนึ่งขึ้นมาแทนที่ในการขับเคลื่อนพระราชกิจของพระคริสต์ต่อไป

เมื่อคริสตจักรของพระเยซูคริสต์เกิดวิกฤติ เกิดปัญหา   ชุมชนผู้เชื่อรุ่นแรกมิได้มองหา “แพะที่จะรับผิด”   แต่พวกเขามองหาคนที่พระเจ้าทรงเลือกให้เข้ามาร่วมในการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์   และนี่เองที่ทำให้พันธกิจคริสตจักรสามารถก้าวรุดไปข้างหน้า   แทนที่จะจมจ่อมอยู่กับปัญหา อุปสรรค หรือความขัดแย้งความไม่พอใจกันและกัน  แล้วมาเถียงกันว่าใครทำความผิดพลาดที่ผ่านมา

ชุมชนผู้เชื่อกลุ่มแรกได้วางเกณฑ์ในการคัดเลือก คนที่จะขึ้นมาแทนยูดาส   คน ๆ นั้นควรเป็นคนที่อยู่ร่วมในทีมงานของอัครทูตและสาวกของของพระคริสต์ตั้งแต่เริ่มแรก   จนถึงท้ายสุดคือ  “...คน​หนึ่ง​ใน​บรร​ดา​คน​ที่​อยู่​กับ​เรา​ตลอด​เวลา​ที่​พระ​เยซู​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​เสด็จ​เข้า​ออก​ท่าม​กลาง​เรา   คือ​ตั้ง​แต่​บัพ​ติส​มา​ของ​ยอห์น จน​ถึง​วันที่​พระ​เจ้า​ทรง​รับ​พระ​องค์​ขึ้น​ไป​จาก​เรา คน​หนึ่ง​ใน​คน​เหล่า​นี้​จะ​ต้อง​เป็น​พยาน​ร่วม​กับ​เรา​เกี่ยว​กับ​การ​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระ​องค์ (1:21-22)   แล้วเขาก็เลือกสองคนที่มีคุณสมบัติตามกำหนด   น่าสังเกตว่า หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคือคนที่อยู่ร่วมในทีมงานตั้งแต่แรกถึงปัจจุบัน   ใช้หลักเกณฑ์คนที่รู้และร่วมตลอดช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงสอนและเสริมสร้างทีมงาน   แต่มิได้ใช้เกณฑ์ว่าเป็นคนของพวกไหน

บางคนที่อ่านพระธรรมตอนนี้แล้วไม่ค่อยสบายใจกับวิธีการของอัครทูตและสาวกพระคริสต์   เขาบอกว่าเขาเห็นด้วยกับการวางหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกคน   แต่เขาไม่สบายใจกับการอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเลือกแล้วตัดสินเลือกด้วยการจับฉลาก?

ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า   จุดประสงค์เบื้องลึกที่อัครทูตและสาวกพระคริสต์กระทำเช่นนี้ที่แท้จริงต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกคน ๆ นั้นที่จะมาแทนยูดาส   พวกเขามิได้เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในการจับฉลาก   แต่พวกเขาใช้วิธีการจับฉลากเป็นเพียงทางหนึ่งที่พระเจ้าจะทรงสำแดงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์   ดังเราเห็นได้จากคำอธิษฐานของพวกเขาว่า   “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าผู้​ทรง​ทราบ​ใจ​ของ​มนุษย์​ทุก​คน ขอ​ทรง​สำแดง​ว่า​ใน​สอง​คน​นี้​พระ​องค์​ทรง​เลือก​คน​ไหน    ให้​รับ​ส่วน​ใน​พันธ​กิจ​นี้​และ​รับ​หน้า​ที่​เป็น​อัคร​ทูต​แทน​ยูดาส...” (1:24-25)   และในที่สุดฉลากตกอยู่กับมัทธีอัส

ปัจจุบันนี้   คริสตจักรของเราได้เลือกคนที่จะมาสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์อย่างอัครทูตและสาวกพระคริสต์หรือไม่   ก้นบึ้งในความต้องการของเราเราต้องการให้พระเจ้าทรงเลือกหรือไม่?   หรือ ใจลึก ๆ แล้วเราต้องการให้คนทั้งหลายเลือก “เรา”   เราต้องการชนะเลือกตั้งในคริสตจักรใช่ไหม?   เมื่อตอนหาเสียงก่อนการเลือกตั้งเราต่างพยายามแจงสรรพคุณ  แผนการ  นโยบาย  ความคิดของเราให้คนที่จะเลือกตั้งเลือกเรา   หรือบางคนถึงกับยอมถวายโน่นยอมให้นี่   เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าตนจะทำประโยชน์เพื่อคนอื่น  เพื่อคริสตจักร และ อะไรต่อมิอะไรมากมาย    ถ้าเช่นนี้เรามีความจริงใจที่ต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือกอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่?    แล้วเราจะบอกว่า ที่เราชนะเลือกตั้งในคริสตจักรเพราะพระเจ้าทรงเลือกเราได้หรือไม่?   หรือถ้าจะถามตรงก็คงต้องถามว่า   ที่ชนะเลือกตั้งในคริสตจักรนั้นเป็นการทรงเลือกและทรงเรียกจากพระเจ้าแท้จริงหรือไม่?

ผมยอมรับว่า  ในเวลานั้น  คนที่เสนอตัวให้คริสตจักรเลือกทุกคนต่างต้องการทำงานรับใช้พระเจ้า   แต่ก็คงพูดยากว่าทุกคนพร้อมที่จะให้พระเจ้าทรงเป็นผู้เลือก   เพราะเราก็รู้เหมือนกับอัครทูตและสาวกพระคริสต์ว่า   “องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้าผู้​ทรง​ทราบ​ใจ​ของ​มนุษย์​ทุก​คน...”    ดังนั้น   เราคงไม่กล้าที่จะอธิษฐานเช่นนั้นแน่   เพราะกลัวพระเจ้าจะทรงเลือกตามที่ทรงล่วงรู้ถึงความคิดในจิตใจของเรา   แต่แรงกว่านั้นคือ พระองค์ทรงรู้ว่าเราได้กระทำอะไรลงไปบ้าง   ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง   แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็มีผู้ที่เสนอตัวที่จะรับใช้พระเจ้าที่เชื่อและไว้วางใจในการทรงเลือกของพระเจ้าอย่างแท้จริงผ่านกระบวนการเลือกตั้ง  

ถึงแม้เราบางคนพยายามที่จะบอกตนเองและเข้าข้างตนเอง   แต่ในส่วนลึกมันมีเสียงฟ้องอยู่มิใช่หรือ?

พระเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ระบบการเลือกตั้งมาเป็นเครื่องมือในการที่พระองค์จะเลือกใคร หรือไม่เลือกใคร  มิใช่หรือ?   แต่พวกเราที่เชื่อในพระองค์เรามีทางเลือกว่า   เราจะมีใจสัตย์ซื่อและจริงใจต่อการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่?   วิธีการเลือกไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด   แต่การตระหนักชัดถึงการทรงรู้ทรงทราบลงลึกถึงจิตใจของเราทุกคน และจิตใจความคิดของเราที่จะสัตย์ซื่อต่อการทรงเลือกของพระองค์ต่างหากที่สำคัญกว่า

ณ วันนี้  เราทุกคนยังมีโอกาส   เรายังมีโอกาสที่จะสัตย์ซื่อ จริงใจ  และทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจของเราเพื่อสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์บนแผ่นดินโลกนี้   เพื่อให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่   พระทัยของพระองค์ในสวรรค์เป็นเช่นไร   ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก    แทนการสานสร้างอาณาจักรแห่งพรรคพวกของเราเท่านั้น  

วันนี้   พระเจ้าทรงให้โอกาสแก่เราทุกคนที่จะสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในคริสตจักร  ในสถาบัน  และในหน่วยงานคริสเตียนต่างๆ   เพื่อนำผู้คนให้เข้ามาอยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า   มีคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น