“ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้น(เริ่มต้น)ในวันนี้
เพราะพระเนตร...ขององค์พระผู้เป็นเจ้า...ชื่นชมยินดีเมื่อเห็นศิลามุมเอก...”
(เศคาริยาห์ 4:10 อมต.)
พระธรรมเศคาริยาห์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มที่ยิวกลับจากการเป็นเชลยในต่างแดน ได้ซ่อมสร้างพระมหาวิหารเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ แต่การซ่อมสร้างพระวิหารกลับหยุดชะงัก เพราะประชาชนไม่สนใจที่จะรับใช้พระเจ้า เพราะต่างคนอ้างว่า ต้องมีภาระการทำมาหากินและความอยู่รอดปลอดภัยของตนเองมากมาย และยิ่งกว่านั้นประชาชนยังท้อแท้ เหนื่อยหน่าย อ่อนแรง จนไม่อยากทำอะไรสำหรับส่วนรวม
ท่ามกลางความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้
สิ้นหวังของประชาชน
เศคาริยาห์ให้กำลังใจประชาชน
ให้เชื่อพึ่งในพระกำลังของพระเจ้า
และชี้ให้ประชาชนเห็นว่า
ความอยู่รอดปลอดภัยของพวกเขาและสังคมประเทศชาติมิใช่เพราะเรามีความแข็งแกร่ง เข้มแข็ง
ยืนหยัดแข็งขืนไม่ยอมใคร จนพัฒนาไปเป็นความแข็งกร้าว เพราะนั่นก็มิได้ชี้ชัดและประกันได้ว่า
อิสราเอลจะอยู่รอดปลอดภัย
และมีชีวิตอย่างมีคุณค่า และพลัง แต่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่โดยพระวิญญาณของพระเจ้า” พระวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้นที่จะกระทำแต่ละสิ่งในชีวิตประจำวันของผู้คนที่ดูธรรมดา เล็กน้อย
บางครั้งมนุษย์ดูว่าด้อยค่า แต่พระเจ้าทำให้กลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเที่ยงแท้ และนำถึงความสำเร็จอย่างแท้จริง
เมื่อเศคาริยาห์วางรากฐานพระวิหาร
ประชาชนและพวกผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคยเห็นถึงความโอ่อ่ายิ่งใหญ่สวยงามของพระมหาวิหารที่ซาโลมอนสร้าง ต่างพูดและรู้สึกว่า พระวิหารที่เศคาริยาห์วางรากนั้น บ่งบอกถึงพระวิหารนั้นมีขนาดเล็ก และไม่น่าจะยิ่งใหญ่อลังการอย่างในอดีต พวกเขาไม่เห็นคุณค่า!
และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชนไม่สนใจ
ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมเสียสละทุ่มเท
เพราะเขาเห็นว่า สิ่งที่ทำนั้น“ด้อยค่า”
แต่พระเจ้าตรัสว่า “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้น
หรือ เริ่มต้นในวันนี้ เพราะพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชื่นชมยินดีเมื่อเห็นศิลามุมเอก...” ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งใหญ่
ความงดงามโอ่อ่าตระการตา
ความแข็งแกร่งบึกบึน ความทันสมัยใช่ว่าจะเป็นสิ่งดีมีคุณค่าเสมอไป
ทุกสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่เราทำเป็นประจำ (รูทีน routine) ที่กระทำบนรากฐานของจิตใจจิตวิญญาณที่ตั้งใจทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ด้วยความรักเมตตาที่เสียสละแบบพระคริสต์ต่างหากที่นำมาซึ่งความชื่นชมยินดี แล้วทำให้เห็นคุณค่าในชีวิตของเรา
จนเป็นเหตุให้เกิดพลังชีวิตในการจาริกไปบนเส้นทางแห่งพระประสงค์ได้
คุณค่าในชีวิตของเรา ความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ในชีวิตประจำวันของเรา มิได้ขึ้นอยู่กับการที่เรานุ่งขาวห่มขาว หรือนุ่งดำห่มดำ
หรือมิใช่เพราะเราได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล หรือ ผู้ปกครองคริสตจักร หรือ ประกอบศาสนพิธีที่สำคัญเสมอไป
แต่อยู่ที่เราดำเนินชีวิตในเรื่องเล็กเรื่องน้อยของชีวิตประจำวัน
ตั้งแต่การเตรียมอาหารการกินสำหรับคนในครอบครัว ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงาน การห่วงหาอาทรแก่คนรอบข้างที่พบเห็น
การมีเวลาที่จะฟังเพื่อนคนหนึ่งจนได้ยินถึงความรู้สึก
ต้องการในชีวิตของเขา
การมีเวลาที่จะอธิษฐาน มีเวลาอยู่กับพระเจ้า มีเวลาที่จะสนุกสนานกับลูกที่บ้าน คุณค่า
ความศักดิ์สิทธิ์
และพลังชีวิตสำหรับเรานั้นได้มาจากการทำงานชีวิตประจำวันเหล่านี้บนรากฐานแห่งความรักเมตตา
เสียสละแบบพระคริสต์
เป็นการกระทำที่เราใส่ใจทำสิ่งเหล่านั้นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องการให้เราทำเช่นใดในสิ่งเล็กสิ่งน้อยเหล่านั้น เมื่อเราทำลงไปแล้ว
พระองค์จะเป็นผู้อวยพระพรให้กลับกลายเป็นคุณค่าที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราและสังคมที่เราอยู่ด้วย
ให้เราทุ่มเทชีวิตสำหรับสิ่งเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วพระองค์จะอวยพระพรที่ยิ่งใหญ่ในสิ่งเล็กน้อยที่เราทำเหล่านั้น
คุณค่าความสำคัญในชีวิตไม่ได้อยู่ที่
ความเล็กน้อย หรือยิ่งใหญ่ในสิ่งที่เราทำ
แต่อยู่ที่เราทำด้วยสุดใจสุดจิตสุดความคิดชีวิตของเราแค่ไหนตามพระประสงค์ของพระเจ้านั้นต่างหากที่วัดความยิ่งใหญ่ และคุณค่าที่เกิดขึ้นมิได้จากสิ่งที่เราทำ แต่เป็นการที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตประจำวันของเรา
และ ผ่านชีวิตของเราแต่ละวัน จนเกิดเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานแก่งานที่เราทำนั้นต่างหาก
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น