30 มิถุนายน 2558

ทำพันธกิจด้วยพลังทุนนิยมและผลประโยชน์นิยม?

...ถ้า​ท่าน​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระ​เจ้า จง​สั่ง​ก้อน​หิน​เหล่า​นี้​ให้​กลาย​เป็น​ขนม​ปัง...(มัทธิว 4:3 มตฐ.)

...เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​พวก​ท่าน​ว่า ท่าน​ตาม​หา​เรา​ไม่​ใช่​เพราะ​เห็น​หมายสำคัญ แต่​เพราะ​ได้​กิน​ขนมปัง​อิ่ม...  (ยอห์น 6:25-26 มตฐ.)

ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์   พระองค์ไม่ได้มีพ่อแม่เป็นกษัตริย์  แต่เป็นชาวบ้านคนธรรมดา   ที่มีพ่อเป็นช่างไม้   พระองค์เกิดมาในเวลาที่พ่อแม่ถูกมหาอำนาจแห่งโลกนี้เกณฑ์ให้ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว   เพื่อพวกมีอำนาจจะได้รีดภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย   พระองค์ไม่ได้เกิดในวัง ในคฤหาสน์  แต่เกิดในที่ที่จะหาได้ในเวลานั้นคือคอกสัตว์   พระองค์เติบโตในฐานะคนอพยพหลบลี้หนีภัยอำนาจทางการเมืองที่ไล่ตามล้างตามผลาญไปอยู่ในอียิปต์

เมื่อพระองค์เริ่มงานสานต่อจากพระราชกิจของพระบิดา  พระองค์เอาชนะการทดลองจากมารด้วยการปฏิเสธการใช้อำนาจทรัพย์สินความมั่งคั่งในการทำพระราชกิจของพระองค์    พระองค์พูดคุยสนทนากับชาวบ้านคนท้องถิ่น   เรียกและเลือกชาวประมง คนเก็บภาษีบางคนมาร่วมงานด้วย   พระเยซูคริสต์ใช้ชีวิตพเนจรท่ามกลางชีวิตประชาชนคนธรรมดา   สัมผัสกับชีวิตของคนยากคนจน  คนเจ็บป่วย คนผีสิง วิญญาณชั่วครอบงำ  พระองค์ให้เวลาและชีวิตกับคนเหล่านี้   และที่สำคัญคือช่วยให้พวกเขามีโอกาสตั้งต้นชีวิตบนเส้นทางชีวิตใหม่

ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์   พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่ใช้อำนาจและความมั่งคั่งที่พระองค์มีอยู่ในการสร้างความนิยมชมชอบโดยการ “ให้เงิน” “ให้ทรัพย์สินสิ่งของ” หรือ เสกสรรบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามที่ประชาชนต้องการ   เพื่อเสริมบารมีการเป็นผู้นำ หรือ ผู้รับใช้ของพระเจ้าในเวลานั้น   แต่พระองค์กลับสื่อสำแดงถึงพระคุณของพระเจ้าแก่ประชาชน   มากกว่าการสร้างบุญคุณบารมีกับประชาชน   เมื่อประชาชนหิว  พระคริสต์ทรงเมตตา   แต่พระองค์ถามสาวกว่า ประชาชนมีอะไรบ้าง   จึงได้ขนมปังมาห้าก้อนกับปลาสองตัว   สิ่งที่พระองค์ทรงทำคือ  อธิษฐานขอบพระคุณและหักแบ่งให้แก่ประชาชน   พระองค์ต้องการให้ประชาชนเห็นความจริงว่า  

ประการแรก   สิ่งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเกิดขึ้นเพราะพระคุณของพระเจ้า   ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการเสียสละจากความมั่งคั่งของพระองค์เอง   หรือเพราะตนเองเสียสละสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพรตน   แต่พระเยซูคริสต์ต้องการสื่อสำแดงว่า   พระเจ้าทรงมีพระคุณ   และพระองค์มีน้ำพระทัยที่จะให้พระคุณนี้ตรงต่อประชาชน

ประการที่สอง  พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะสร้างการพึ่งพิง   ไม่ประสงค์ให้ประชาชนติดตามพระองค์เพราะ “ได้กิน” “ได้ผลประโยชน์”   พระองค์ประสงค์ให้ประชาชนหันกลับมาหาพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ   มิใช่เพราะต้องการพึ่งพิงและหาผลประโยชน์จากพระองค์ (ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของประชาชน)   ดังนั้น  พระองค์จึงไม่ยอมใช้ความมั่งคั่งของพระองค์เป็นสื่อซื้อหรือล่อใจเพื่อให้ประชาชนติดตามพระองค์   เพราะพระองค์รู้ชัดว่า  การใช้ทรัพย์สินสิ่งของเงินทองเป็นสื่อในการสานต่อพระราชกิจของพระเจ้า   เป็นการกระทำที่เสี่ยงสูงที่มารหรืออำนาจชั่วทางเศรษฐกิจจะใช้สิ่งที่พระองค์ให้นั้นทำลายทำร้ายประชาชน   คือทำให้ประชาชนพึ่งพิงในการทรงช่วยเหลือของพระองค์   มากกว่าได้สัมผัสกับพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าแล้วหันกลับมาหาพระเจ้าทั้งชีวิต  (และทำให้เข้าใจได้เลยว่า  ทำไมพระเยซูคริสต์ไม่ยอมเสกหินในทะเลทรายให้กลายเป็นขนมปัง   ตามที่มารแนะนำ/ท้าทาย   เพราะพระเยซูคริสต์มิได้มารับใช้พระบิดาเพื่อตนเอง)

ประการที่สาม  พระองค์มาเพื่อให้ชีวิต  เพื่อประชาชนจะได้ชีวิต   ซึ่งชัดเจนว่า พระองค์มิได้มาเพื่อให้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อประชาชนจะได้ชีวิต   บ่อยครั้งคริสตชนติดยึดการทำพันธกิจสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ว่า “แล้วมีงบประมาณเท่าไหร่?”   คริสตชนเรียนรู้และติดยึดว่า การที่ตนจะรับใช้พระเจ้านั้น “ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง” “ปัจจัย”  และนี่คือจุดตายและจุดหายนะของคริสตจักร   เพราะทำให้คริสตชนไม่ได้พึ่งพิงและสำนึกในพระคุณของพระเจ้า   จึงมิได้ทุ่มสุดชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์   แต่ทุ่มสุดตัวเพื่อรับใช้ผลประโยชน์และคนที่ให้ผลประโยชน์เพื่อตนเอง    

เมื่อวิญญาณชั่วแห่งความคิดแบบทุนนิยมและผลประโยชน์นิยมครอบงำความคิดความเชื่อของคริสตชนเช่นนี้แล้ว   อะไรจะเกิดขึ้นกับชุมชนผู้เชื่อในคริสตจักรไทย?   แล้วเราจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดีครับ?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น