...“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า
จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”...(มัทธิว
4:3 มตฐ.)
...เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า
ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม... (ยอห์น 6:25-26
มตฐ.)
ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ พระองค์ไม่ได้มีพ่อแม่เป็นกษัตริย์ แต่เป็นชาวบ้านคนธรรมดา ที่มีพ่อเป็นช่างไม้
พระองค์เกิดมาในเวลาที่พ่อแม่ถูกมหาอำนาจแห่งโลกนี้เกณฑ์ให้ไปจดทะเบียนสำมะโนครัว เพื่อพวกมีอำนาจจะได้รีดภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พระองค์ไม่ได้เกิดในวัง ในคฤหาสน์ แต่เกิดในที่ที่จะหาได้ในเวลานั้นคือคอกสัตว์
พระองค์เติบโตในฐานะคนอพยพหลบลี้หนีภัยอำนาจทางการเมืองที่ไล่ตามล้างตามผลาญไปอยู่ในอียิปต์
เมื่อพระองค์เริ่มงานสานต่อจากพระราชกิจของพระบิดา พระองค์เอาชนะการทดลองจากมารด้วยการปฏิเสธการใช้อำนาจทรัพย์สินความมั่งคั่งในการทำพระราชกิจของพระองค์ พระองค์พูดคุยสนทนากับชาวบ้านคนท้องถิ่น เรียกและเลือกชาวประมง
คนเก็บภาษีบางคนมาร่วมงานด้วย
พระเยซูคริสต์ใช้ชีวิตพเนจรท่ามกลางชีวิตประชาชนคนธรรมดา สัมผัสกับชีวิตของคนยากคนจน คนเจ็บป่วย คนผีสิง วิญญาณชั่วครอบงำ พระองค์ให้เวลาและชีวิตกับคนเหล่านี้ และที่สำคัญคือช่วยให้พวกเขามีโอกาสตั้งต้นชีวิตบนเส้นทางชีวิตใหม่
ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์
พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่ใช้อำนาจและความมั่งคั่งที่พระองค์มีอยู่ในการสร้างความนิยมชมชอบโดยการ
“ให้เงิน” “ให้ทรัพย์สินสิ่งของ” หรือ เสกสรรบันดาลสิ่งต่าง ๆ ตามที่ประชาชนต้องการ เพื่อเสริมบารมีการเป็นผู้นำ หรือ
ผู้รับใช้ของพระเจ้าในเวลานั้น
แต่พระองค์กลับสื่อสำแดงถึงพระคุณของพระเจ้าแก่ประชาชน มากกว่าการสร้างบุญคุณบารมีกับประชาชน เมื่อประชาชนหิว พระคริสต์ทรงเมตตา แต่พระองค์ถามสาวกว่า ประชาชนมีอะไรบ้าง จึงได้ขนมปังมาห้าก้อนกับปลาสองตัว สิ่งที่พระองค์ทรงทำคือ อธิษฐานขอบพระคุณและหักแบ่งให้แก่ประชาชน พระองค์ต้องการให้ประชาชนเห็นความจริงว่า
ประการแรก
สิ่งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นนี้เป็นการเกิดขึ้นเพราะพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่เกิดขึ้นเพราะการเสียสละจากความมั่งคั่งของพระองค์เอง
หรือเพราะตนเองเสียสละสิ่งที่พระเจ้าทรงอวยพรตน แต่พระเยซูคริสต์ต้องการสื่อสำแดงว่า พระเจ้าทรงมีพระคุณ และพระองค์มีน้ำพระทัยที่จะให้พระคุณนี้ตรงต่อประชาชน
ประการที่สอง พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะสร้างการพึ่งพิง ไม่ประสงค์ให้ประชาชนติดตามพระองค์เพราะ
“ได้กิน” “ได้ผลประโยชน์”
พระองค์ประสงค์ให้ประชาชนหันกลับมาหาพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ มิใช่เพราะต้องการพึ่งพิงและหาผลประโยชน์จากพระองค์
(ไม่ยอมตกเป็นเหยื่อของประชาชน)
ดังนั้น
พระองค์จึงไม่ยอมใช้ความมั่งคั่งของพระองค์เป็นสื่อซื้อหรือล่อใจเพื่อให้ประชาชนติดตามพระองค์ เพราะพระองค์รู้ชัดว่า
การใช้ทรัพย์สินสิ่งของเงินทองเป็นสื่อในการสานต่อพระราชกิจของพระเจ้า เป็นการกระทำที่เสี่ยงสูงที่มารหรืออำนาจชั่วทางเศรษฐกิจจะใช้สิ่งที่พระองค์ให้นั้นทำลายทำร้ายประชาชน
คือทำให้ประชาชนพึ่งพิงในการทรงช่วยเหลือของพระองค์ มากกว่าได้สัมผัสกับพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าแล้วหันกลับมาหาพระเจ้าทั้งชีวิต (และทำให้เข้าใจได้เลยว่า ทำไมพระเยซูคริสต์ไม่ยอมเสกหินในทะเลทรายให้กลายเป็นขนมปัง ตามที่มารแนะนำ/ท้าทาย
เพราะพระเยซูคริสต์มิได้มารับใช้พระบิดาเพื่อตนเอง)
ประการที่สาม พระองค์มาเพื่อให้ชีวิต เพื่อประชาชนจะได้ชีวิต ซึ่งชัดเจนว่า
พระองค์มิได้มาเพื่อให้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อประชาชนจะได้ชีวิต บ่อยครั้งคริสตชนติดยึดการทำพันธกิจสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ว่า
“แล้วมีงบประมาณเท่าไหร่?” คริสตชนเรียนรู้และติดยึดว่า
การที่ตนจะรับใช้พระเจ้านั้น “ขึ้นอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง” “ปัจจัย” และนี่คือจุดตายและจุดหายนะของคริสตจักร เพราะทำให้คริสตชนไม่ได้พึ่งพิงและสำนึกในพระคุณของพระเจ้า จึงมิได้ทุ่มสุดชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์ แต่ทุ่มสุดตัวเพื่อรับใช้ผลประโยชน์และคนที่ให้ผลประโยชน์เพื่อตนเอง
เมื่อวิญญาณชั่วแห่งความคิดแบบทุนนิยมและผลประโยชน์นิยมครอบงำความคิดความเชื่อของคริสตชนเช่นนี้แล้ว
อะไรจะเกิดขึ้นกับชุมชนผู้เชื่อในคริสตจักรไทย? แล้วเราจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดีครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น