21 กุมภาพันธ์ 2563

ความขัดแย้งในคริสตจักรที่รังแต่จะบานปลาย


คนทั้งหลายในสังคมโลกจะรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ เมื่อคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระองค์รักซึ่งกันและกัน และ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนี่คือบัญญัติที่พระเยซูคริสต์ให้แก่เรา (ยอห์น 13:34-35)

แต่เราเคยแปลกใจหรือไม่ว่า ทำไมความขัดแย้งในคริสตจักรยังเกิดขึ้นและใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ? ต่อไปนี้เป็นเหตุผลบางประการที่ไฟแห่งความขัดแย้งในคริสตจักรกำลังลุกลามและบางแห่งยังควบคุมไฟไม่อยู่ และกำลังลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ขยายวงกว้างออกไป

1. สมาชิกคริสตจักรห่วง/กังวลในบางเรื่อง ความขัดแย้งในคริสตจักรบางเรื่องสุมไฟจากความห่วงใยบางประเด็นที่มีในคริสตจักร เพราะความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของจึงลุกขึ้นมาปกป้องให้ทุกเรื่องเป็นไปอย่างเดิม กลัวว่าคนอื่นจะทำให้คริสตจักรไปผิดทิศผิดทาง เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องสิ่งที่ตน “หวง” และ “ห่วงกังวล”  

2. แสวงหาอำนาจมากกว่าแสวงหาความรักเมตตาแบบพระคริสต์ คริสตจักรกลายเป็นเวที “การเมือง” เพื่อแสวงหาอำนาจที่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ เกียรติยศ ชื่อเสียง ด้วยการเอาชนะคะคานกัน ซึ่งขัดกับบัญญัติใหม่ที่พระคริสต์ให้แก่เรา

3. ผู้นำคริสตจักรมักไม่ได้ผ่านการฝีกฝนในการแก้ไขปัญหา เราส่วนใหญ่มักเรียนรู้การแก้ปัญหาท่ามกลางความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (เราบางคน)เรียนรู้ผ่านความล้มเหลวที่ประสบ (แต่อีกหลายคนก็ไม่ได้เรียนรู้)  คริสตจักรไม่ได้มีการเตรียมตัว สร้างความเข้าใจ และเรียนรู้การป้องกันและการรับมือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น

4. คริสตจักรเผชิญหน้ากับอำนาจชั่วที่เสี้ยมให้เกิดความขัดแย้ง ตั้งแต่ยุคในสวนเอเดน ซาตานหาทางที่จะทำให้ผู้ติดตามพระเจ้าขัดแย้งต่อสู้กับกันเอง มันใช้เล่ห์เหลี่ยม กลับกลอก และสร้างความแตกแยก ประเด็นนี้เราไม่ค่อยตระหนักกันสักเท่าใด?

5. การจุดประกายไฟแห่งความขัดแย้งทั่วคริสตจักร ความขัดแย้งเกิดขึ้นคุกรุ่นลุกลามไปทั่วคริสตจักร ความขัดแย้งแต่ละอย่างอาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่เมื่อเอาหลายความขัดแย้งมารวมกันทำให้เป็นความขัดแย้งที่รุนแรงได้

6. ไม่มีใครสนใจเมื่อประกายความขัดแย้งที่ถูกจุดขึ้น น่าสนใจว่า ผู้นำคริสตจักรสักกี่คนรู้ว่าเกิดประกายความขัดแย้งขึ้นในหมู่คนของตน นั่นหมายความว่าผู้นำไม่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับสมาชิก หรือไม่พวกผู้นำก็เป็นต้นเหตุ เป็นผู้จุดประกายเสียเอง

7. คริสตจักรไม่สามารถคาดการณ์ถึงความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้น คริสตจักรที่จะรับมือกับความขัดแย้งได้ คือคริสตจักรที่มีการสอนให้สมาชิกรู้เท่าทัน รับมือกับความขัดแย้งที่มีในหมู่คนที่มีความสัมพันธ์กัน ตั้งแต่คน ๆ นั้นเข้ามาเป็นสมาชิกแต่เริ่มแรก

8. ไม่มีใครอธิษฐานเผื่อการคืนดี และ ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักร ในเมื่อพระเยซูคริสต์ยังอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ในเรื่องนี้ (ยอห์น 17:21) เราก็ควรที่จะอธิษฐานเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวของสมาชิกคริสตจักรเช่นกัน

9. จุดประกายความขัดแย้งทย่างลับ ๆ การร้องเรียนโดยไม่เปิดเผยตัวตน จดหมายที่ไม่ลงชื่อ คนที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลที่ใช้ในการประชุม ฝ่ายตรงกันข้ามปิดบังตนเองเข้ามาร่วมในกลุ่มอธิษฐาน ทุกอย่างเป็นความลับ และมักเป็นความลับที่ชั่วร้าย

10. สมาชิกในบางคริสตจักรมีความเชี่ยวชาญในการโหมไฟแห่งความขัดแย้ง พวกเขามีความสุขกับการสร้างความขัดแย้ง และ แพร่ขยายการซุบซิบนินทา บางครั้งก็สร้าง “ข่าวปลอม” “ข่าวเท็จ” หรือบางพวกก็แพร่ขยายบนสื่อออนไลน์

11. คนที่ไม่ได้เติบโตเป็นสาวกพระคริสต์จะไม่พร้อมที่จะรับมือกับไฟที่สุมให้เกิดความขัดแย้ง เขายังเป็นทารกในพระคริสต์ และทารกย่อมไม่รู้ถึงอันตรายของไฟ จำเป็นต้องมีคนที่จะช่วยผู้เชื่อกลุ่มนี้ปลอดภัยจากไฟแห่งความขัดแย้ง ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจจะถูกไฟแห่งความขัดแย้งลวกเอา และกลายเป็นบาดแผลในชีวิตได้

12. สมาชิกบางคนในคริสตจักรเคยมีเรื่องราวในความขัดแย้งมาแล้ว พวกเขาเคยถูกไฟแห่งความขัดแย้งลวกเอาหลายครั้งหลายหน เคยชินกับความขัดแย้งในคริสตจักร และเมื่อเกิดความขัดแย้งอีกเขารู้สึกชาชินกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นกลับดูเป็นเรื่องปกติธรรมดาในคริสตจักร

13. คริสตจักรที่มีแต่ความขัดแย้ง คริสตจักรนั้นมีแต่ความแห้งแล้งเหี่ยวเฉา คำเทศนากลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย   การประกาศพระกิตติคุณไม่เกิดขึ้น ไม่มีใครพูดถึงงานพันธกิจ คนหนุ่มสาวหายหน้าไปจากคริสตจักร เมื่อทุกอย่างในคริสตจักรดูแห้งเหี่ยว เมื่อเกิดประกายไฟแห่งความขัดแย้งนิดเดียวย่อมทำให้เกิดไฟลุกลามขึ้น และเกิดเพลิงไหม้คริสตจักรได้ง่ายดาย

14. ผู้นำในคริสตจักรไม่ใส่ใจและกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์ เมื่อผู้นำคริสตจักรละเลยความสนใจในสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผย เมื่อได้ยินถึงเรื่องขัดแย้งกลับมีอาการเฉยเมยไม่กระตือรือร้น หรือแค่พูดถึงเรื่องเหล่านั้นอย่างผิวเผิน ความขัดแย้งยังคงอยู่ต่อไป

15. ไม่มีใครทำตามข้อตกลงข้อบังคับของคริสตจักร ถ้าคริสตจักรไม่ทำตามขั้นตอนตามข้อตกลงข้อบังคับต่อคนที่สร้างความขัดแย้งในคริสตจักร (หรือ เขาดำเนินการกับตนสร้างความขัดแย้งแต่มิได้เป็นไปตามหลังการทางพระคัมภีร์ หรือ มิได้กระทำด้วยใจเมตตา) นั่นก็เป็นการยืดความขัดแย้งให้ดำเนินต่อไป

16. ความขัดแย้งแผ่ขยายวงกว้าง จากความขัดแย้งในคริสตจักรหนึ่ง เกิดการลุกลามไปในคริสตจักรอื่น ลามไปยังคริสตจักรภาค และในที่สุดถูกมารใช้เป็นเครื่องมือทำให้เกิดความขัดแย้งในคริสตจักรระดับชาติ และคริสตชนหลายต่อหลายคนคือเครื่องมือทำในสิ่งที่มารชั่วต้องการให้เกิดขึ้นในคริสตจักรไทย!

มีสาเหตุอื่นใดอีกไหมครับ?

แล้วเราจะรับมือและจัดการในเรื่องนี้อย่างไร ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น