16 เมษายน 2563

“ศิษยาภิบาลเปลี่ยนไป...” หลังวิกฤติโควิด 19

จากการเกิดวิกฤติโควิด 19 คริสตจักรเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ได้รับกระทบที่รุนแรง และมีส่วนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต และ พันธกิจคริสตจักร และอีกส่วนหนึ่งที่กระทบอย่างมาก คือศิษยาภิบาลในคริสตจักรท้องถิ่น จนอาจจะสามารถกล่าวได้ว่า “ศิษยาภิบาลเปลี่ยนไป...” หลังวิกฤติโควิด 19

จากการสังเกตและการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตและการทำพันธกิจคริสตจักร และ การทำงานของศิษยาภิบาลคริสตจักรท้องถิ่นต่าง ๆ ในขั้นต้นที่สถานการณ์วิกฤติยังไม่ลงตัว พอประมาณการคร่าว ๆ ได้ว่า ตัวของศิษยาภิบาล และ การทำหน้าที่อภิบาลได้รับผลกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

1) ศิษยาภิบาลส่วนหนึ่งจะเติบโตแข็งแรงขึ้นจากสถานการณ์โควิด 19 และอีกส่วนหนึ่งจะท้อถอยเพราะตนเองไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ในสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 ศิษยาภิบาลส่วนหนึ่งปรับตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้มีฐานเชื่อกรอบคิด (mindset) ว่า พระเจ้าทรงประทานสิ่งจำเป็นมากมายแม้ในภาวะวิกฤติที่ขาดแคลน ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้มีมุมมองอนาคตอย่างสร้างสรรค์  

ในขณะที่ศิษยาภิบาลอีกกลุ่มหนึ่งรอเวลาที่คริสตจักรและชุมชนจะกลับไปสู่สภาพเดิมที่เคยเป็น แต่น่าเสียดายทั้งคริสตจักรและสังคมจะไม่กลับไปสู่สภาพอย่างในอดีตอีกแล้ว หลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ศิษยาภิบาลกลุ่มหลังจะอยู่ยากรับใช้ลำบาก

2) ศิษยาภิบาลจำนวนมากขึ้นเริ่มจะมองว่าอาคารโบสถ์เป็นเพียงเครื่องมือมิใช่เป้าหมายในการทำพันธกิจคริสตจักร
ศิษยาภิบาลได้แบ่งปันประสบการณ์ถึงคริสตจักรที่เขารับใช้สามารถขับเคลื่อนไปอย่างน่าทึ่งแม้อยู่ท่ามกลางวิกฤตินี้ก็ตาม แม้ว่าสมาชิกจะไม่มีการพบปะกันทางกายภาพ และอาคารโบสถ์มิใช่ศูนย์กลางของชีวิตคริสตจักรอีกต่อไป

ดังนั้นสิ่งที่บ่งชี้ความสำเร็จของชีวิตและพันธกิจคริสตจักรจึงมิใช่มีคนมาร่วมกันในคริสตจักรอาทิตย์ละกี่คน ได้รับเงินถวายเท่าใด และที่คริสตจักรทำกิจกรรมอะไรบ้าง

แต่ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้กลับมอง “คริสตจักรที่เป็นชีวิตของผู้เชื่อ และ กลุ่มคนผู้เชื่อ” เป็นที่สถิตของพระเจ้า   คริสตจักร (ที่เป็นชีวิตผู้เชื่อ) เป็นพระวรกายที่ขับเคลื่อนพระราชกิจของพระเยซูในชีวิตประจำวันท่ามกลางคนในชุมชนที่สมาชิกคน ๆ นั้นเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย พวกเขาสื่อสารสัมพันธ์กันใกล้ชิด “ในอากาศ” (สื่อออนไลน์) และ ทางกายภาพด้วยเมื่อมีโอกาสอำนวย เป็นความสัมพันธ์หนุนเสริมกันและกันด้วยพลังแห่ง “พระวิญญาณบริสุทธิ์”

คริสตจักรแบบหลังนี้เองที่จะ “เขย่า และ พลิกคว่ำ” สังคมโลกนี้ในพื้นที่ที่มีผู้คนรวมกันเป็นคริสตจักรให้เปลี่ยนแปลงเป็น “แผ่นดินของพระเจ้า”

3) ศิษยาภิบาลจำนวนมากขึ้นที่จะมองว่าโลกของการสื่อสารออนไลน์เป็นโอกาสสำหรับพระกิตติคุณ มากกว่าที่จะมองว่าเครื่องมือสื่อออนไลน์ทันสมัยเป็นเครื่องมือของซาตานที่ล่อลวงให้ทำชั่ว

แน่นอนว่าที่ผ่านมา เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ได้สร้างความชั่วความเสียหายมากมายหลายด้านในผู้คนวัยต่าง ๆ ถ้วนหน้า แต่ในช่วงวิกฤติโควิด 19 ศิษยาภิบาลหลายท่านได้เห็นและมีประสบการณ์ว่า เครื่องมือสื่อสารทันสมัยตัวนี้มิได้ดีชั่วในตัวของมันเอง แต่อยู่ที่ผู้ใช้ ดังนั้น เครื่องมือสื่อสารดิจิตัลทันสมัยที่นำมาใช้ในพระราชกิจของพระเจ้าก็จะเกิดผลดีเกินกว่าที่คาดคิด

จากประสบการณ์ในวิกฤติโควิด 19 ทำให้ศิษยาภิบาลหลายท่าน “คิดใหม่ มองใหม่” ต่อการใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ทันสมัยเหล่านี้ และพระเจ้าสามารถอวยพระพรผ่านการทำพันธกิจด้านต่าง ๆ ผ่านการใช้เครื่องมือสื่อสารเหล่านี้ด้วย แน่นอนว่า ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้ต้องการการหนุนเสริมให้ศิษยาภิบาล ผู้นำ และสมาชิกคริสตจักรมีทักษะความสามารถในการใช้เครื่องมือสื่อทันสมัยนี้ในพระราชกิจของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น

ในขณะที่ศิษยาภิบาลอีกกลุ่มหนึ่งเฝ้ารอให้สถานการณ์โควิด 19 กลับสู่สภาพเดิมแล้วทำพันธกิจอย่างที่คริสตจักรและที่ตนเคยทำมาก่อนหน้านี้ ศิษยาภิบาลกลุ่มนี้ไม่สนใจที่จะพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ หรือของประทานจากพระเจ้าในการใช้เครื่องมือสื่อสารทันสมัยนี้ในการรับใช้พระเจ้าในโลกนี้

4) ศิษยาภิบาลจำนวนมากขึ้นได้ค้นพบ และ เข้าไปมีส่วนร่วมชีวิตในชุมชนมากขึ้น

ที่ผ่านมา ทั้งศิษยาภิบาล ผู้นำคริสตจักรบางกลุ่มมักวางกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่จะให้คนในชุมชนเข้ามาร่วมกิจกรรมในคริสตจักร แต่วิกฤติโควิด 19 กดดันให้การทำพันธกิจของคริสตจักรต้องออกไปติดต่อ สื่อสารสัมพันธ์ และเข้าถึงคนในชุมชน อาคารโบสถ์-บริเวณคริสตจักรเป็นพื้นที่หนึ่งที่พวกเขาอาจจะใช้เป็นที่พบปะ เพื่อเตรียมการทำพันธกิจของพระเจ้า แต่มิใช่เป้าหมายปลายทางของพื้นที่ในการทำพันธกิจของเขา

ผู้นำที่ได้รับประสบการณ์ดังกล่าวจึงพยายามแสวงหาแนวทางในการทำพันธกิจที่สร้างสรรค์ที่มีอิทธิพล มีพลังที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตของชุมชน ดังนั้น คริสตจักรจึงมุ่งที่จะเข้าไปถึงคนในชุมชน มากกว่าการที่จะเชิญชวนคนในชุมชนมาในตัวอาคารหรือบริเวณคริสตจักรอย่างที่เคยทำกันในอดีต

5) ศิษยาภิบาลจำนวนหนึ่งมองเรื่องการชี้วัดความสำเร็จงานคริสตจักรแตกต่างไปจากเดิม

จากการเก็บข้อมูลของหลายคริสตจักรพบว่า ครั้งเมื่อมีการนมัสการพระเจ้าที่รวมศูนย์ในคริสตจักรมีคนมาร่วมนมัสการ 100 คน แต่เมื่อมีการถ่ายทอดการนมัสการออนไลน์ออกไป มีคนเข้าชม/ร่วมนมัสการค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนในสัปดาห์ที่ 3 มีผู้เข้าร่วม/ชม 250 คน อะไรที่ทำให้เกิดผลที่แตกต่างกันมากมายเพียงนี้? และยังพบว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วม/ชมการนมัสการเกือบทั้งหมดเป็นคนในพื้นที่ ที่คริสตจักรสามารถเข้าถึงและติดต่อได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติดต่อผ่านกลุ่มเล็กของคริสตจักรในชุมชนต่าง ๆ และ ครอบครัวสมาชิกในพื้นที่ต่าง ๆ และจากจุดนี้เองที่คริสตจักรสามารถที่จะรับใช้ตามบริบทชีวิตของคนเหล่านี้ในชุมชน จากวิกฤตโควิด 19 ช่วยให้ศิษยาภิบาลมองเห็นช่องทางต่าง ๆ ที่สามารถทำพันธกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ปัญหาคือ ศิษยาภิบาลจะต้องเปลี่ยนวิถีการทำงานพันธกิจคริสตจักรของตน และจะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการ และ กระบวนการการอภิบาลชีวิตสมาชิก และ อภิบาลชีวิตชุมชนด้วย

ให้เรามองไปที่ทางเปิดกว้างของพระเจ้าสำหรับเราในการทำพระราชกิจของพระองค์ มากกว่าการมุ่งมองไปที่อุปสรรคที่กีดขวางการทำพันธกิจที่เกิดจากโควิด 19


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น