14 เมษายน 2563

เกิดอะไรขึ้นในวัน “เสาร์เงียบเชียบแต่ศักดิ์สิทธิ์”

การสะท้อนย้อนคิดถึงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ 2020

ข้างนอกยังมืด แต่ข้างในอุโมงค์สว่าง ในอุโมงค์นั้นว่างเปล่า สิ่งที่สาวกวางแผนในใจที่จะทำ แต่กลับไม่ได้ทำและทำไม่ได้ และในความว่างเปล่านั้นเอง ทำให้สาวกต้องงงงวย แต่แล้วมาพบว่า พระเจ้ามีแผนการของพระองค์เพื่อพวกสาวก และ เพื่อพวกเราตอนนี้ด้วย!

พระเจ้าทรงสร้างโลกและในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่เจ็ด พระองค์กำหนดให้เป็นวันสะบาโต เป็นวันที่หยุดพักจากพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระองค์ แต่น่าเสียดายและเสียใจอย่างยิ่งที่มารได้ทำลายพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า จนพระเยซูคริสต์ต้องเข้ามาในโลกนี้เพื่อกอบกู้ไถ่ถอนโลกที่พระองค์ทรงสร้างจากอำนาจครอบงำของมาร และในเช้าวันอาทิตย์พระองค์ทรงมีชัยเหนือความตาย ที่มารหลอกล่อหยิบยื่นยัดเยียดแก่มนุษย์ และนี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการทรงสร้างใหม่ของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

ดังนั้น สำหรับคริสตชนวันอาทิตย์จึงเป็นวันแรกของสัปดาห์ (วันต้นสัปดาห์) วันเริ่มต้นของการร่วมสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน และคริสตชนเริ่มต้นวันแรกของสัปดาห์ด้วยการนมัสการ รับการทรงนำ และ รับพลังชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

วันเสาร์ของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากมักเข้าใจกันว่าวันนี้เป็น “วันเงียบ” บางคริสตจักรก็จัดให้สมาชิกมีโอกาสเงียบเพื่อทบทวน และ ใคร่ครวญถึงชีวิต คำสอน และพระราชกิจที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำบนแผ่นดินโลกนี้

มีคนถามว่าแล้วในวันเสาร์ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเลยหรือ? ทำไม ถึงให้วันนี้เป็นวันที่ “เงียบเชียบ”? แล้วสำหรับคริสตชน ในวันเสาร์นี้เราทำอะไรกัน? (แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่มีจุดประสงค์เพื่อให้คริสตชนไปเยี่ยมสุสานที่ฝังญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงหลับไปแล้ว หรือการไปทำการกำจัดความรกแล้วทำสะอาดปีละครั้ง และบ้างก็นำแจกันดอกไม้ไปไว้หน้าอุโมงค์ฝังศพแสดงถึงการคิดถึง... สิ่งเหล่านี้มิใช่จุดประสงค์ของวันเสาร์ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ตามพระคัมภีร์แน่!)

สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์เริ่มต้นด้วยวันอาทิตย์ทางปาล์มที่ประชาชนจำนวนมากเข้าใจว่า กษัตริย์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะช่วยกู้พวกเขาทางการเมืองให้หลุดรอดออกจากการครอบครองของโรมันได้เริ่มต้นแล้ว จึงมีการโห่ร้องต้อนรับพระเยซูคริสต์ที่ทรงลาเข้ามาในกรุงเยรูซาเล็มด้วยการโบกกิ่งไม้ และปูเสื้อผ้าของตนเองบนถนนที่พระเยซูจะเสด็จผ่าน พร้อมกับร้องว่า โฮซันนา (ยอห์น 12:13)  

แล้วตามมาด้วยวันพฤหัสฯ แห่งการสถาปนาความหมายใหม่แห่งแผ่นดินของพระเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาพระเจ้าทรงกอบกู้และไถ่ถอนชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ และพวกยิวทำพิธีปัสกาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญนั้น แต่ในค่ำคืนวันพฤหัสฯ นั้นพระเยซูคริสต์ได้สถาปนาพิธีมหาสนิท ซึ่งเป็นความหมายใหม่ของแผ่นดินของพระเจ้าที่พระองค์จะทรงกอบกู้ไถ่ถอนออกจากการตกอยู่ใต้อำนาจของมารและความตายเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งในแผ่นดินใหม่ของพระเจ้าแตกต่างจากเดิม ทุกคนได้รับการทรงเรียกและบัญชาให้เข้าร่วมในพระราชกิจของพระคริสต์ ดังนั้น จำเป็นที่ทุกคนจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง เสริมสร้างใหม่ และรับพระกำลังจากเบื้องบนโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ 

มากกว่านั้น ลักษณะกษัตริย์ หรือ ผู้นำชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าที่แต่ละคนจะเข้าร่วมนั้น เป็นผู้นำที่ต้องรับใช้คนอื่น “ต้องล้างเท้าสาวกของตน” ผู้ใหญ่ผู้นำต้องลดตัวลงรับใช้ลูกน้อง สาวก สมาชิกของตน ผู้นำต้องล้างเท้าคนที่ต่ำต้อยยากจนกว่าตน ผู้นำไม่ใช่เจ้านาย แต่เป็นคนใช้ของคนอื่น และ การที่ได้เป็นผู้นำมิใช่เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์ ได้ตำแหน่ง ได้อำนาจ แต่การเป็นผู้นำในแผ่นดินของพระเจ้าคือการให้ ให้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อคนอื่นจะมีชีวิตอยู่ ก่อนที่จะสถาปนาพิธีมหาสนิทพระเยซูคริสต์ทรงล้างเท้าสาวกทีละคน เพื่อให้สาวกได้สัมผัสกับสัจจะความจริงและพระประสงค์ของพระองค์ด้วยการล้างเท้าสาวกของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเรียกร้องให้สาวกทุกคนให้สานต่อพระราชกิจของพระองค์ด้วย “ชีวิตที่ให้ชีวิต” เพื่อให้คนรอบข้างจะได้ชีวิตใหม่ 

แต่สิ่งที่กล่าวในข้างต้นนี้มิได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเท่านั้น แต่เป็นประสบการณ์ตรงในชีวิตกับพระคริสต์ ที่จะค่อย ๆ หล่อหลอม บ่มเพาะ ฐานเชื่อกรอบคิด (mindset) ของสาวกแต่ละคน ให้เป็นฐานเชื่อกรอบคิดในการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันต่อไป  

แล้ววันเสาร์ที่เงียบเชียบไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยหรือ

พระกิตติคุณลูกา ได้เล่าถึงเหตุการณ์คร่าว ๆ โดยสังเขปไว้ดังนี้ “วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และใกล้จะถึงวันสะบาโตแล้ว พวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไปและเห็นอุโมงค์นั้น ทั้งเห็นว่าเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย  แล้วพวกนางก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันสะบาโตนั้นพวกเขาก็หยุดพักตามบัญญัติ” (ลูกา 23:54-56 มตฐ.) 

ดังนั้น วันศุกร์บ่ายใกล้เย็นที่เขาเอาพระศพพระเยซูลงจากกางเขน แล้วโยเซฟแห่งอริมาเธีย (ซึ่งเป็นสมาชิกสภาศาสนาของยิว เป็นคนดีและชอบธรรม และไม่เห็นด้วยกับมติและการกระทำของสภาฯ นั้น เป็นคนที่รอคอยแผ่นดินของพระเจ้า และมีบางข้อมูลบอกว่าเขาเป็นคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์) ได้ขอพระศพจากปิลาต เอาพระศพลงจากกางเขน เอาผ้าป่านพันหุ้มพระศพ แล้วรีบนำไปฝังในอุโมงค์ที่เจาะเข้าในศิลา เป็นอุโมงค์ใหม่ที่เขาทำไว้ยังไม่มีใครใช้มาก่อน ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้กระทำกันอย่างรีบเร่งเพื่อให้เสร็จก่อนจะถึงเวลาเริ่มต้นของวันสะบาโต อย่างไรก็ตามสาวกสตรีที่ติดตามพระเยซูคริสต์เห็นการนำพระศพลง การนำพระศพไปอุโมงค์ และการวางพระศพในอุโมงค์   

แต่พวกเธอไม่มีโอกาสที่จะชโลมพระศพของพระเยซูคริสต์ด้วยเครื่องหอมกับน้ำมันหอมตามประเพณีปฏิบัติ   เพราะไม่มีการเตรียมสิ่งเหล่านี้ล่วงหน้า ประจวบกับความรีบเร่งเพราะกำลังจะเริ่มวันสะบาโต เมื่อเขาเห็นที่ฝังพระศพ และ การฝังพระศพเสร็จแล้ว พวกเธอรีบกลับไปที่พักเพื่อเตรียมเครื่องหอมและน้ำมันหอม เพื่อเมื่อผ่านวันสะบาโตไปแล้วจะได้นำสิ่งเหล่านั้นที่เตรียมไปชโลมพระศพพระเยซูคริสต์  

เมื่อวันสะบาโตสิ้นสุดลง และเริ่มต้นรุ่งอรุณวันใหม่ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ พวกเธอก็ได้นำน้ำมันและเครื่องหอมที่ได้เตรียมไว้เพื่อหวังที่จะชโลมพระศพของพระอาจารย์ของพวกเธอ แต่เช้านั้นเองที่พวกเธอได้พบเจอกับเหตุการณ์การอัศจรรย์พันลึก เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนแปลง “ฐานเชื่อกรอบคิด” (mindset) ของพวกเธออย่างสิ้นเชิงและตลอดไป (ดูรายละเอียดในลูกา บทที่ 24)  

ในวันสะบาโต หลายคนคงคิดว่าพวกสาวกโดยเฉพาะกลุ่มสาวกสตรีคงร้องไห้โศกเศร้า และ เกิดความสงสัยในสิ่งที่เคยหวัง คือความหวังของการกอบกู้ดูริบหรี่ลง ไม่รู้ว่าพวกตนจะเดินต่อไปอย่างไร และอาจจะมีความกลัวที่พวกผู้นำศาสนาจะมาจับพวกตนที่เคยติดตามพระเยซูคริสต์

ในวันสะบาโตพระองค์ยังทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ และเมื่อถึงเวลาที่ทรงกำหนดของพระองค์ ในเช้าวันอาทิตย์นั้นเอง พระราชกิจแห่งความมหัศจรรย์ที่ไม่เคยเชื่อและไม่คิดมาก่อน ได้เกิดขึ้นเป็นจริง เป็นรูปธรรม   ตามที่พระองค์เคยบอกสาวกก่อนหน้านี้แล้ว แต่พวกเขามิได้เชื่อ จึงมิได้เข้าใจ เพราะเกินความสามารถที่เขาจะเข้าใจได้ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้าง “ฐานเชื่อ และ กรอบคิด” ของสาวกใหม่ด้วยการให้พวกเขาได้มีประสบการณ์กับการเป็นขึ้นใหม่ของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรม ประสบการณ์ตรงที่เขาได้รับจากพระคริสต์ต่างหากที่ทำให้สาวกเกิดความเชื่อศรัทธาที่แท้จริงที่หยั่งรากลึกในสัจจะความจริง มิใช่เพียงข้อมูล คำสอนเท่านั้น 

ใช่สินะ ความเชื่อศรัทธาที่เกิดจากประสบการณ์ตรงเชิงประจักษ์ต่างหากที่ทำให้ผู้คนเกิดความเชื่ออย่างทุ่มเททั้งชีวิต เช่น สาวกสองคนที่กำลังเดินทางไปที่เอมมาอุส เปาโลบนเส้นทางไปดามัสกัส โธมัสที่รับคำท้าทายจากพระเยซูคริสต์ให้พิสูจน์ความจริงด้วยการเอานิ้วแยงเข้าไปที่บาดแผลที่มือ เท้า และสีข้างของพระองค์ เปโตรที่พระเยซูตามหาเขาเมื่อคืนพระชนม์และได้ยกโทษพร้อมกับให้โอกาสใหม่ และบัญชาเขาให้เลี้ยงแกะของพระองค์ และ ฯลฯ  

ในวิกฤติโควิด 19 ที่ผ่านมา คริสตจักรของเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรงอะไรบ้างจากพระคริสต์ในเหตุการณ์นี้   ที่ทำให้ “ฐานเชื่อ กรอบคิด” ของเราในเรื่องการเป็นสาวกของพระคริสต์ และ คริสตจักรที่สานต่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้ได้หยั่งรากลงลึกในพระวจนะและพระประสงค์ของพระองค์


ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น