25 กรกฎาคม 2554

แต่พระเจ้ารู้ซึ้งถึงจิตใจของท่าน...(ตอนที่ 1)

แต่พระองค์ตรัสแก่เขาว่า
“เจ้าทั้งหลายทำทีดูเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์
แต่พระเจ้าทรงทราบจิตใจของเจ้าทั้งหลาย
ด้วยว่าซึ่งเป็นที่นับถือมากท่ามกลางมนุษย์
ก็ยังเป็นที่เกลียดชังจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า”
(ลูกา 16:15)

พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า
“พวกท่านทำตัวเป็นคนชอบธรรมในสายตามนุษย์
แต่พระเจ้าทรงทราบจิตใจของท่าน
สิ่งที่ถือว่าสูงค่าในสายตามนุษย์ก็น่ารังเกียจในสายพระเนตรพระเจ้า”
(อมตธรรม, ลูกา 16:15)

ฟาริสีไม่พอใจนักที่พระเยซูคริสต์ยืนยันว่า ไม่ควรเป็นคนที่นับถือยกย่องพระเจ้าและเงินทองไปพร้อมด้วยกัน (ลูกา 16:14) เราคงคุ้นๆ กับการยืนยันความจริงนี้และรู้อีกว่า สิ่งนี้เคยเป็นความจริงในชีวิตของเราเช่นกัน

พระเยซูตอบสนองต่อคำเยาะเย้ยเสียดสีของพวกฟาริสีเกี่ยวกับเรื่องเงินทอง แต่พระองค์มิได้กล่าวถึงเรื่องเงินทองทันที แต่พระองค์มุ่งเป้าไปที่ “จิตใจ” ของพวกฟาริสี ว่า “เจ้าทั้งหลายทำทีดูเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงทราบจิตใจของเจ้าทั้งหลาย...”(16:15) พระคัมภีร์ตอนนี้ถ้าถอดความตามตัวอักษรจะได้ความว่า “เจ้าทั้งหลายพิสูจน์ อ้างอิง และ ทำตัวให้คนอื่นเห็นและเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนบริสุทธิ์ถูกต้อง...” แน่นอนครับ ฟาริสีต้องการให้คนรอบข้างมองตนว่าเป็นคนดีมีคุณธรรม บริสุทธิ์ ยุติธรรม ฟาริสีต้องการให้คนรอบข้างเคารพนับถือ และยกย่องตน พวกเขาต้องการเป็นคนที่มีชื่อเสียงเกียรติยศในสังคมของพวกเขา... ที่พูดมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนเรามีประสบการณ์คุ้นชินอย่างมากใช่หรือไม่เนี่ย?

ผมคงต้องยอมสารภาพความจริงว่า ในตัวผมมี “เมล็ดพันธุ์ฟาริสี” ปลูกฝัง บ่มเพาะอยู่ มิเพียงแต่ผมจะชอบ ติดอกติดใจ และถึงขั้นบางครั้งหลงระเริงงมงายกับเงินทองเท่านั้น แต่ในสภาพการณ์ชีวิตเช่นนั้นผมก็ต้องการให้คนรอบข้างมองผมว่า ผม“เป็นคนชอบธรรม” “เป็นคนดีควรแก่การยกย่องนับถือให้เกียรติ” บ่อยครั้งที่ตนทำตัวลื่นไหลให้คนรอบข้างสรรเสริญยกย่องตนเอง ถึงแม้ว่าในสายตาของคนทั่วไปไม่เห็นว่าสิ่งนี้ผิดแปลกอะไร และบ่อยครั้งเมื่อคนรอบข้างจับได้ว่าตัวจริงของผมมิใช่เป็นเช่นนั้น ผมก็จะอ้างว่า ที่ชีวิตของตนเป็นเช่นนี้เพราะอิทธิพลรอบข้างทำให้เราต้องลื่นไหลตามไป? แต่ที่สำคัญยิ่งที่ผมต้องไม่ลืมว่า ในการที่ทำตัวเช่นนี้ผมกำลังเล่มเกมชีวิต “ปากว่าอย่างใจเป็นอย่าง” กับพระเจ้า ผมกำลังให้คุณค่าสิ่งอื่นๆ สูงกว่าพระเจ้า!

คำพูดประโยคสั้นๆ ของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “แต่พระเจ้าทรงทราบจิตใจของท่าน...” กระตุ้นเตือนผมอย่างทรงพลัง ในทัศนะของพระคัมภีร์จิตใจของเรามิใช่เป็นบ้านของอารมณ์เท่านั้น แต่จิตใจของมนุษย์ตามทัศนะของพระคัมภีร์เป็นศูนย์กลางของสัจจะความจริงชีวิตภายในของเราแต่ละคน และยังเป็นที่ที่ของความนึกคิดและความรู้สึกของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่นี่คือศูนย์ของการตัดสินใจในชีวิตของคนๆ นั้น ไม่สำคัญว่าชีวิตภายนอกของเราจะดูดีแค่ไหนอย่างไร แต่พระเจ้าทรงทราบลงลึกถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจของเรา

พระเยซูคริสต์มิได้บอกว่าพฤติกรรมการแสดงออกของเราเป็นเรื่องไม่สำคัญ แต่เราต้องเลือกที่จะดำเนินชีวิตและกระทำในสิ่งที่ถูกต้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า และพระองค์กำลังเตือนเราว่า เราไม่ควรดำเนินชีวิตฉาบฉวยเพื่อทำให้คนอื่นพอใจยกย่อง แต่มิได้สนใจว่าถูกต้องดูดีในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือไม่ เป็นการดำเนินชีวิตที่ส่อชี้ให้เห็นว่า “เมล็ดพันธุ์ฟาริสี” กำลังเติบโต คุม และมีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา

ท่านรู้สึกนึกคิดเช่นไร ที่พระเยซูคริสต์บอกว่า พระเจ้าทรงทราบลงลึกถึงจิตใจของท่าน?
เมื่อท่านทราบเช่นนี้แล้วท่านรู้สึกเช่นไร? รู้สึกอาย กลัว มีกำลังใจ ท้าทาย
การดำเนินชีวิตที่ “ชอบธรรม” ของท่านติดตรึงฝังใจคนรอบข้างอย่างไรบ้าง?

ใช่สินะ... พระเจ้าทรงทราบและค้นลึกจนถึงก้นบึ้งแห่งจิตใจของข้าฯ
พระองค์ทรงทราบถึงทุกสิ่งภายในตัวข้าฯ
พระองค์ทรงทราบถึงความลับสุดยอดในชีวิตข้าฯ
พระองค์ทรงทราบความกลัวทั้งสิ้นภายในตัวข้าฯ
พระองค์ทรงทราบถึงความผิดบาปที่ข้าฯพยายามซ่อนให้พ้นจากสายตาของพระองค์ และความทรงจำของตนเอง
พระองค์ทรงทราบถึงการที่ข้าฯพยายามทำตัวให้คนอื่นพึงพอใจชื่นชอบมากกว่าให้พระองค์พอพระทัยในชีวิตของข้าฯ
พระองค์ทรงทราบก่อนที่ข้าฯจะเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ต่อพระองค์

ขอพระองค์ช่วยข้าพระองค์ เปลี่ยนแปลง และสร้างข้าฯใหม่
ให้เป็นคนที่สัตย์ซื่อที่พระองค์จะพอไว้วางใจได้
ให้ข้าฯแสวงหาการดำเนินชีวิตที่ยกย่อง สรรเสริญ ให้เกียรติพระองค์
ด้วยทั้งชีวิต
ด้วยความคิดและความรู้สึก
ด้วยความใฝ่ฝัน
ด้วยความปรารถนา
ด้วยชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวัน

ด้วยพระคุณของพระเจ้า
ชีวิตและจิตใจของเรานำมาซึ่งการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ชีวิตและจิตใจของเราจึงสำแดงความเมตตาคุณของพระองค์ที่มีต่อโลกนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น