เราท่านต่างยอมรับในความเป็นผู้นำของกษัตริย์ดาวิด
แม้ท่านจะได้รับการหล่อหลอมชีวิตด้วยการเลี้ยงดูฝูงแกะของบิดา และมีอารมณ์ศิลปินทางด้านดนตรี และ
การประพันธ์
แต่ชีวิตของท่านโดดเด่นจนมีชื่อเสียงเป็นบุคคลระดับชาติเมื่อท่านตัดสินใจอาสาออกศึกสู้รบทหารยักษ์ในสมัยของท่าน ทั้งๆ ที่ทหารหาญทั้งหลายของอิสราเอลภายใต้การนำของกษัตริย์ซาอูลมุดหัวอยู่แต่ในค่าย
ยอมทนฟังเสียงด่าทอพระเจ้ายาเวห์จากศัตรู
และทนฟังคำเย้ยหยันของฝ่ายตรงกันข้าม ศัตรูออกมาท้าทายเย้ยหยันเช่นนี้ทุกเช้าเย็นเป็นเวลา
40 วัน (1 ซามูลเอล 17:16) “เมื่อซาอูลและคนอิสราเอลทั้งสิ้นได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ของคนฟีลิสเตีย
พวกเขาก็ตกใจหวาดกลัวยิ่งนัก”(ข้อ 11 ฉบับมาตรฐาน) แม้กษัตริย์ซาอูลจะตกรางวัลขนาดยกลูกสาวแสนสวย
และ สมบัติมากมายให้คนที่ฆ่าศัตรูขนาดยักษ์ตนนั้นได้แต่ก็หามีใครกล้าอาสาไม่(ข้อ
25) เพราะแต่ละคนก็คิดในใจว่า ออกไปก็ตายเปล่าๆ “อาสาก็อาสัญ!”
ดาวิดกล้าอาสาออกสู้ศึกครั้งนี้มิใช่เพราะรางวัลก้อนโตล่ออยู่ข้างหน้า มิใช่ความมั่นใจเก่งกล้าสามารถในการศึก เพราะแค่ใส่ชุดเกราะของทหารก็เรียกว่า เดินเกือบไม่ได้ จนต้องขอไม่ใส่ชุดเกราะป้องกัน แต่ขอออกศึกครั้งนี้ด้วยชุดสามัญชนคนเลี้ยงแกะ
(เพราะท่านไปพร้อมกับไม้เท้าเลี้ยงแกะของท่าน
ที่ศัตรูตัวยักษ์ขนานนามว่า “ไม้ไล่หมา” ข้อ 43)
อะไรที่ทำให้ดาวิดเต็มใจอาสาสู้ศึกด้วยความมั่นใจ
(หรือในสายตาของคนทั่วไปมองว่า “อาสาไปตาย” หรือดีหน่อยก็ “อาสาเสี่ยงตาย”)
1. ดาวิดบอกกับทั้งทหารและกษัตริย์ซาอูลที่อยู่ข้างสนามรบว่า
“อย่าให้จิตใจของใครฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย...” (ข้อ 32) ถ้าเริ่มด้วย “ใจฝ่อ” ทุกอย่างก็จะฝ่อไปด้วยกันทั้งหมด
2. ดาวิดออกรบครั้งนี้ด้วยจิตใจที่เชื่อมั่นคงในพระยาเวห์ว่า
การสงครามครั้งนี้มิใช่การต่อสู้ระหว่างเขากับโกลิอัท แต่โกลิอัทกำลังท้าทายพระเจ้า และ
ต้องต่อสู้กับพระองค์ (ซึ่งเป็นมวยคนละชั้นอยู่แล้ว) เพียงพระเจ้าทรงสู้โกลิอัทผ่านการต่อสู้ของดาวิดเท่านั้น
“พระยาเวห์ผู้ทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากอุ้งเท้าของสิงโต และจากอุ้งเท้าของหมี
จะทรงช่วยกู้ข้าพระบาทจากมือของฟีลิสเตียคนนี้” (ข้อ 37) ดาวิดประกาศลั่นในสนามรบต่อหน้าโกลิอัทว่า
“...ข้ามาหาท่านในพระนามของพระยาเวห์ จอมทัพ
พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอลที่ท่านท้าทาย” (ข้อ 45) ดาวิดประกาศต่อหน้าโกลิอัทอย่างมั่นใจว่า
“ในวันนี้พระยาเวห์จะทรงมอบท่านไว้ในมือของพวกเรา...” (ข้อ 46)
3. ดาวิดมั่นใจในอาวุธและความสามารถที่พระเจ้าประทานแก่เขา
และ พระเจ้าทรงใช้เวลาในการฝึกฝนบ่มเพาะเขาในทุ่งหญ้าเลี้ยงแกะ เมื่อพระเจ้าทรงใช้ผู้ใดในพระราชกิจของพระองค์ คนๆ นั้นย่อมได้รับการเตรียมพร้อมล่วงหน้าจากพระองค์อยู่แล้ว
ในเหตุการณ์นี้พระเจ้าทรงเตรียมดาวิดด้วยการฝึกหัดและสู้กับสัตว์ร้ายที่มาเพื่อจะทำร้ายกัดกินแกะของเขาด้วยการใช้สลิง
และ การมีกำลังวังชาที่แข็งแรงจากพระเจ้า
แม้ในสายตาของคนอื่น เช่นกษัตริย์ซาอูลมองดาวิดว่า
“...เจ้าเป็นแต่เด็กหนุ่ม
และชายคนนี้ชำนาญศึกตั้งแต่หนุ่มๆ แล้ว” (ข้อ 33)
และในสายตาของโกลิอัทมองว่าดาวิดเป็นเพียง
“...คนหนุ่ม ผิวแดงๆ รูปร่างงามน่าดู” (ข้อ 42) ในพระราชกิจของพระเจ้าย่อมสามารถทำสำเร็จด้วยปัญญา
ความสามารถ และทักษะที่พระเจ้าทรงเตรียมและประทานให้
4. ในพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ปรากฏว่าพระเจ้าทรงใช้คนที่ “โนเนม”
ดาวิดไม่ใช่คนเด่นดังในอิสราเอล
ไม่มีใครรู้จักว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่ากอของใคร(ยกเว้นพวกพี่ชาย) เมื่อชนะศึกครั้งนี้ กษัตริย์ซาอูลเรียกแม่ทัพอับเนอร์เข้ามาถามว่า ดาวิดเป็นใคร
มาจากไหน ลูกของใคร อับเนอร์ทูลซาอูลว่า “ข้าแต่พระราชา ฝ่าพระบาททรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพระบาทไม่ทราบ” ซาอูลถึงกับสั่งว่า
“ไปสืบถามดูว่าเจ้าหนุ่มคนนี้เป็นลูกของใคร” (ข้อ 55-56)
ภาวะผู้นำเริ่มต้นที่ “ใจ” ถ้าใจไม่สู้แล้วทุกอย่างก็จบสิ้น
ถ้าเริ่มต้นที่ใจฝ่อทุกอย่างก็ฝ่อตามไปด้วย ถ้าเริ่มต้นด้วยคิดในใจว่า จะเอาชนะด้วยปัญญา ความสามารถ ทักษะ และเครื่องมือของตนเอง ความพ่ายแพ้หายนะก็รออยู่ข้างหน้า
แต่ถ้าสามารถมองเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในเหตุการณ์นั้น
และพระองค์ทรงใช้และทำงานผ่านของประทานของพระเจ้าที่ทรงเตรียมไว้ในตัวเรา เราก็จะได้ร่วมในชัยชนะของพระองค์ ในกรณีนี้ไม่ขึ้นอยู่กับ ชื่อเสียง เกียรติยศ ศักดิ์ศรี
ความเก่งกาจสามารถของเราเลย แม้เราจะ
“โนเนม” ขนาดไหนมันไม่ใช่ประเด็นสำหรับภาวะผู้นำครับ ภาวะผู้นำเริ่มที่ “ใจ” ครับ จิตใจที่มั่นคง เข้มแข็ง เพราะรู้แน่แก่ใจว่า
พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำพระราชกิจของพระองค์ในครั้งนี้
และเราได้รับเกียรติเข้าร่วมในงานสำคัญครั้งนี้ต่างหาก ภาวะผู้นำเริ่มต้นที่ใจครับ ใจที่ไว้วางใจในพระเจ้า และ
ใจที่ชื่นชมยินดีในชัยชนะของพระองค์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น