21 พฤษภาคม 2012
ในวงสนทนากลุ่มเล็กที่เรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน ในวันนี้เราศึกษาถึงเรื่องความเชื่อ เราได้คำหนึ่งจากกลุ่มเล็กนี้ว่า
“ความเชื่อเฒ่าทารก” แล้วนี่หมายความว่าอะไรกัน? ถ้าประมวลจากการพูดคุยแสดงความคิดเห็นกัน
เราได้คำจำกัดความในทำนองนี้ว่า
ความเชื่อแบบเฒ่าทารกเป็นความเชื่อของผู้ที่มีอายุความเชื่อที่มากหรือยาวนาน
แต่การเติบโตหรือพัฒนาการด้านวุฒิภาวะทางความเชื่อศรัทธากลับมิได้มีการเติบโต
หรือ เติบโตแต่น้อยนิด
ในฐานะที่เราท่านต่างใช้ชีวิตประจำวันในสถานการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย เพื่อนที่ทำงานด้านวิจัยถามผมว่า แล้วคุณใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดว่า
คนนั้นคนนี้มีความเชื่อศรัทธาหรือไม่?
ถ้ามีความเชื่อศรัทธา ความเชื่อศรัทธาของเขามีประสิทธิภาพ หรือ
คุณภาพแค่ไหน?
เรื่องนี้ทำให้กลุ่มเพื่อนคริสเตียนที่ทำงานด้านวิจัยด้วยกันคุยกันยาวนาน บางท่านก็แนะนำว่า เราจะเอาวิธีการ หรือ แนวการวัดทั่วไป ไปวัดด้านจิตวิญญาณไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณเป็นอีกมิติหนึ่งของชีวิต แต่เพื่อนอีกกลุ่มเห็นต่างว่า
ความเชื่อศรัทธามิใช่ความลึกลับแต่เป็นเรื่องของชีวิตประจำวัน
เราสามารถสังเกตเห็นความเชื่อศรัทธาของแต่ละคนผ่านการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตของคนๆ
นั้น
ใช่...แต่
พวกเราแต่ละคนมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างหลากหลาย
แล้วเราจะหาตัวชี้วัดชีวิตจิตวิญญาณของเราที่เป็นกลางๆ ที่คนแต่ละกลุ่ม แต่ละอาชีพ
แต่ละสถานการณ์ชีวิตสามารถนำไปประยุกต์ปรับใช้การตรวจสอบหรือวัดความเจริญเติบโต
หรือ ความเข้มแข็งในชีวิตจิตวิญญาณอย่างไร?
ด้วยการพูดคุยอย่างออกรสชาติ หรือ เพราะเรานานๆ พบกันที หรือ
เพราะเป็นประเด็นที่เราแต่ละคนต้องการคำตอบต่อคำถามที่ติดค้างคาใจ หรือ
ด้วยสาเหตุที่เราไม่มีวินัยชีวิตเลยไม่ได้กำหนดกรอบเวลาของการพูดคุยก็ไม่รู้ การสนทนาวันนั้นลากยาวไปจนถึงอาหารมื้อค่ำ เลยต้องช่วยกันหาคำสรุปในเรื่องนี้กัน
ในวันนั้น เรายอมรับร่วมกันว่า
“การที่มีความเชื่อศรัทธาแบบคริสเตียนคือ ผู้เชื่อคนนั้นมีพลังความเชื่อ การคิด
การรู้สึก และการตัดสินใจที่สามารถควบคุมสถานการณ์ชีวิตในตอนนั้นๆ ได้ แทนที่จะถูกอิทธิพลรอบข้างชีวิตของเขาครอบงำหรือควบคุมการคิด
ความรู้สึก และ การตัดสินใจของเขาในสถานการณ์นั้นๆ”
ในการศึกษาพระคัมภีร์ เช่น ในมัทธิว 6:30 พระเยซูคริสต์ตรัสสอนประชาชนว่า
“...ถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ คนมีความเชื่อน้อย
พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ?”
ในที่นี้พระเยซูมิได้ใช้คำว่า “โอ...คนที่ไม่มีความเชื่อ” แต่พระองค์ใช้คำพูดที่ว่า “โอ
คนที่มีความเชื่อน้อย”
เรื่องราวการเดินบนน้ำทะเลของเปโตรเพื่อที่จะไปหาพระเยซู แต่เมื่อเกิดลมและคลื่นเปโตรตกใจกลัว จนถึงกับร้องเรียกให้พระเยซูช่วย ในมัทธิว 14:31
“พระเยซูจึงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ทันที
และตรัสว่า ‘ช่างมีความเชื่อน้อย ท่านสงสัยทำไม?’”
หรือเมื่อสาวกกำลังกังวลกับการที่ลืมเอาขนมปังติดตัวมาด้วย จนเมื่อพระเยซูพูดเรื่อง “เชื้อ(ร้าย)ของฟาริสี แต่สาวกกลับคิดถึงเชื้อในขนมปัง แล้วถกกันถึงเรื่องการลืมเอาขนมปังมา ทั้งๆ ที่สาวกเหล่านี้ได้ผ่านเหตุการณ์อัศจรรย์ครั้งสำคัญทั้งสองครั้ง
ในการเลี้ยงคนจำนวนมากมายด้วยขนมปังเพียงไม่กี่ก้อน มัทธิว 16:8
บันทึกว่า “พระเยซูทรงทราบจึงตรัสกับเขาทั้งหลายว่า
‘พวกท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริงๆ
ทำไมพวกท่านถึงพูดกันเรื่องไม่มีขนมปัง?’”
ประเด็นแรกที่เราเรียนรู้คือ ในสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ เราท่านต่างมีความเชื่อศรัทธา แต่ความเชื่อศรัทธาที่มีอยู่ในบางสถานการณ์มี
“ความเชื่อน้อย” ลักษณะของคนที่มีความเชื่อน้อยคือ
การคิด การรู้สึก และความสนใจ
การตัดสินใจของเขาถูกควบคุมด้วยสถานการณ์แวดล้อมในตอนนั้น อาจจะแสดงออกมาในความกลัว ความวิตกกังวล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ
สถานการณ์แวดล้อมชีวิตในขณะนั้นมีอิทธิพลเหนือการคิด การรู้สึก การสนใจ และการตัดสินใจของคนๆ นั้น ดังนั้น การคิด การรู้สึก การให้ความสนใจ
และการตัดสินใจของเขาจึงทำตามกระแสอิทธิพลรอบข้างดังกล่าว และนี่คือคนที่มีความเชื่อน้อย ดังตัวอย่างเปโตร
ตกใจกลัวเพราะสภาพแวดล้อมแปรปรวน หรือ ความคิดพวกสาวกถูกครอบงำเรื่องลืมขนมปังเป็นต้น
ประการที่สอง
แท้จริงแล้วความเชื่อศรัทธาเป็นสิ่งที่มีชีวิตและเติบโตเข้มแข็งได้
พระเยซูคริสต์ทรงเปรียบความเชื่อศรัทธาของเรากับเมล็ดพืช ถึงแม้มีขนาดเล็ก แต่มีพลังชีวิตภายในเมล็ดนั้นมีมากมายมหาศาล ในมัทธิว 17:20
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะพวกท่านมีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า
ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง พวกท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเคลื่อนไป
และสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกท่านจะไม่มีเลย”
การที่ความเชื่อศรัทธาของเราจะเติบโต และ
เข้มแข็ง วัด สังเกต หรือสัมผัสได้จากผู้เชื่อคนๆ นั้น และมีพลังชีวิตที่สามารถมีอิทธิพลเหนือสถานการณ์แวดล้อมที่เกิดขึ้นแต่ละวันในชีวิต
จนสามารถไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของสถานการณ์และกระแสสังคมแวดล้อม ยิ่งกว่านั้นเขายังเรียนรู้ที่จะจัดการชีวิตของตนเองโดยการใช้พระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีในชีวิตตน
และ จัดการสภาพแวดล้อมตามพระประสงค์นั้น
และนี่น่าจะเป็นตัวชี้วัดถึงความเชื่อศรัทธาของคริสเตียนเรา
ประการที่สาม
ความเชื่อศรัทธาจะเจริญ เติบโต เข้มแข็งได้นั้น เกิดจากการที่ความเชื่อศรัทธามี “รากฐาน”
ที่แข็งแรงก่อน รากฐานที่แข็งแรงของความเชื่อศรัทธาคือ
“พระวจนะ” ของพระเจ้า
การวางรากฐานพระวจนะของพระเจ้าในผู้เชื่อแต่ละคนเป็นสิ่งละเว้นไม่ได้ ดังนั้น
การใคร่ครวญเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้าจึงต้องกระทำตั้งแต่เริ่มแรกของชีวิต อย่างต่อเนื่อง และตลอดชีวิต
เพราะพระวจนะจะช่วยให้ผู้ศึกษาใคร่ครวญเรียนรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของตน
พระวจนะบ่งชี้แนวทางการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เชื่อ พระวจนะเป็นพลังชีวิตและเสริมสร้างความหวัง ตลอดจนเป็นเป้าหมายชีวิตของผู้เชื่อศรัทธาคนๆ นั้น
แต่พระวจนะจะเกิดฤทธิ์ ออกพลัง
ที่บ่งชี้ถึงความแข็งแรงนั้น
นอกจากพระวจนะจะต้องแทรกซึมเข้าในชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว สิ่งสำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือการที่คนๆ นั้นใช้พระวจนะในการคิด ตัดสินใจ
เป็นมุมมอง
และการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ตามพระวจนะที่เรียนรู้ นำสิ่งที่เรียนสู่การปฏิบัติจริง เกิดประสบการณ์และพบการทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้าในประสบการณ์ชีวิตตน เสริมสร้างความมั่นใจในความเชื่อศรัทธา ยิ่งกว่านั้นเห็นพลัง
อิทธิพลของความเชื่อศรัทธาที่หนุนเสริมชีวิตให้มีพลังตามพระประสงค์ขับเคลื่อนชีวิตตนไปข้างหน้า
ดังนั้น
ถ้าจะถามว่าอะไรคือตัวชี้วัดความเชื่อศรัทธา คงตอบได้ว่า
คือการที่คนๆ นั้นสามารถคิด รู้สึก ตั้งใจ
และตัดสินใจ
แล้วกระทำตามบนรากฐานแห่งพระวจนะตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตประจำวันที่มีอิทธิผล
และ เป็นพลังชีวิตที่ควบคุมสถานการณ์แวดล้อมและกระแสสังคมที่ตนต้องเผชิญทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่การที่จะเกิดเป็นความเชื่อศรัทธาที่มั่นคง
แข็งแรง และเกิดผลในชีวิตได้
ความเชื่อต้องหยั่งรากในพระวจนะ
และนำน้ำเลี้ยงจากพระวจนะไปเป็นพลังในการดำเนินชีวิตจนเกิดผลเป็นประสบการณ์ตรง
ได้สัมผัสกับการทรงกระทำพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของตน
และผ่านชีวิตของตน กลายเป็นพลังภูมิคุ้มกันในชีวิตต่ออิทธิพลจากภาวะแวดล้อม
และ กระแสอิทธิพลสังคมโลกที่ทับถมเข้าใส่ชีวิต
ยิ่งกว่านั้น ผู้นั้นกลับนำเอาพลังชีวิตที่เข้มแข็งขึ้นจากความเชื่อศรัทธาใช้ในการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและสังคมโลกรอบข้างอีกด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น