เมื่อพูดถึงเรื่อง “หัวใจ”
ในที่นี้เรามิได้หมายความถึงก้อนเนื้อพิเศษที่ทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายเท่านั้น แต่เราหมายถึง “จิตใจ”
ที่หยั่งรากฝังลึกลงในจิตวิญญาณ
อารมณ์ และความปรารถนาของเรา ดังในพระวจนะของพระเจ้าที่บอกให้เรา “จงระแวดระวังใจของเจ้ากว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำ ออกมาจากใจ”
(สุภาษิต 4:23)
“จิตใจ”
เป็นรากฐานของความเป็นผู้นำของแต่ละคน
เพราะนั่นคือตัวกระตุ้นพลังขับเคลื่อนใจปรารถนาเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และความปรารถนาที่จะรับใช้ในแผ่นดินของพระองค์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครก็ตามที่รู้สึกว่าได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าในการทำหน้าที่ในการเป็นผู้นำ คนๆ นั้นจะรู้สึกถึงการทรงเรียกนั้นมาจากส่วนลึกของก้นบึ้งแห่งจิตใจของเขา
แต่ในเวลาเดียวกันเราก็สังเกตพบเช่นกันว่า “จิตใจ” บางครั้งก็พ่นความคิดและทัศนคติที่เป็นพิษร้าย
และแย่กว่านั้นคือสิ่งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการกระทำพันธกิจของคนๆ นั้นด้วย เมื่อหลายเดือนก่อน
ผมได้รับรู้จากเพื่อนสนิทท่านหนึ่งที่ทำงานในหน่วยงานรับใช้พระเจ้าที่สำคัญแห่งหนึ่ง เขาเกือบต้องล้มทั้งยืนเมื่อถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจนพิจารณาให้ถอดออกจากการเป็นผู้อำนวยการของหน่วยงานนั้น
ผมเข้าใจในความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจอย่างมากของเขาและครอบครัว
สิ่งที่ผมเรียนรู้อย่างมากจากเพื่อนสนิทท่านนี้คือ เขา “ระแวดระวังใจ”
ของเขาไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของพิษร้ายที่มาจากใจของกรรมการบริหารและเพื่อนร่วมงานบางคนของเขา ไม่ตอบโต้แต่พร้อมอธิบายด้วยความสุภาพพร้อมหลักฐาน ไม่ฟ้องร้อง
ตีโต้กลับ
แต่ใช้เวลาอธิษฐานใกล้ชิดพระเจ้า
เดือนแล้วเดือนเล่าดูไม่เห็นสิ่งใดดีขึ้น
แต่เมื่อถึงเวลาของพระเจ้า
พระองค์ทรงเข้ามาแทรกแซงในเหตุการณ์นั้นและทรงนำเพื่อนคนนี้ไปบนเส้นทางที่พระองค์ทรงใช้เขาในงานของพระองค์ที่สำคัญอีกงานหนึ่ง
แท้จริงแล้วการตอบสนองต่อวิกฤติชีวิตของเราแต่ละคนแสดงออกให้เห็นถึงรากฐานความเชื่อศรัทธาของผู้นำคนๆ
นั้น
ชี้วัดถึงสัมพันธภาพและความสนิทชิดเชื้อระหว่างเขากับพระเจ้า อีกทั้งยังเป็นการเปิดเผยถึงความปรารถนาที่แท้จริงในชีวิตของเขาที่สาธารณชนสามารถเห็นและรับรู้ได้ และเป็นการแสดงออกมาชัดเจนว่า
เขาเป็นผู้นำที่รับใช้พระเจ้า หรือ เป็นผู้นำเพื่อสนองความปรารถนาของตนเองเท่านั้น
ผมไม่พบอาการของเพื่อนคนนี้ว่าเมื่อตกในสถานการณ์เช่นนี้แล้วรู้สึกเสียหน้า รู้สึกเสียศักดิ์ศรี หรือต้องการที่จะเรียกคืน
“ศักดิ์ศรีที่ถูกเหยียบย่ำ”
ในฐานะที่เป็นผู้นำที่เป็นคนรับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรามิได้เกิดขึ้นกับเราเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับพระเจ้าผู้ทรงใช้เราทำงานและทรงเรียกเราให้รับใช้พระองค์ในโลกนี้ด้วย ดังนั้น
พระองค์คือผู้ที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เราในฐานะผู้นำที่รับใช้พระเจ้า
ในภาวะเช่นนี้สิ่งที่เราทำได้และควรกระทำคือ ใกล้ชิดและสนิทกับพระเจ้า และทูลขอจากพระองค์
“ข้าแต่พระเจ้า
ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์ และ
ขอทรงสร้างจิตใจหนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10 ฉบับมาตรฐาน)
ข้าแต่พระยาเวห์
ขอทรงสอนพระมรรคาของพระองค์แก่ข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินในความจริงของพระองค์
ขอทรงรวมใจของข้าพระองค์เป็นใจเดียว
ให้ยำเกรงพระนามของพระองค์ (สดุดี 86:11 ฉบับมาตรฐาน)
เราจะให้ใจใหม่แก่พวกเจ้า และ
เราจะบรรจุวิญญาณใหม่ไว้ภายในของเจ้าทั้งหลาย
เราจะนำใจหินออกจากเนื้อของเจ้าและให้ใจเนื้อแก่เจ้า (เอเสเคียล 36:26 ฉบับมาตรฐาน)
ในการที่เราจะทำหน้าที่ผู้นำที่รับใช้ของพระเจ้า เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า เราต้อง “รับใช้” เป็นสิ่งแรกแล้วค่อยตามด้วย “การนำ” เราต้องเรียนรู้การเป็นผู้นำที่รับใช้ตามแบบอย่างของพระคริสต์ในทุกสถานการณ์ พระเจ้าทรงเลือกและทรงเรียกให้เรานำ
มิเพียงแต่เราจะต้องเข้มแข็งและทำงานรับใช้เท่านั้น แต่เราต้องยืนมั่นและเข้มแข็งที่จะถวายอุทิศชีวิตจิตใจทั้งสิ้นแต่พระเจ้า
แต่ต้องระลึกเสมอว่าเรากำลังทำงานเพื่อใคร
และใครคือผู้ควบคุมสถานการณ์ทั้งสิ้นที่เกิดขึ้น!
ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด
ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์...
เพราะท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่” (โคโลสี 3:23-24
ฉบับมาตรฐาน)
ประเด็นสำหรับใคร่ครวญและอภิปรายกลุ่ม
1. สำหรับท่านแล้ว “จิตใจ”
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรบ้าง? ใน “จิตใจ”
ของท่านมีทัศนคติ และ ความรู้สึกเกี่ยวกับการเป็นผู้นำอย่างไรบ้าง?
2. สำหรับท่านแล้ว ท่านเห็นว่า “การรับใช้ก่อนแล้วค่อยนำ”
นั้นเป็นผู้นำลักษณะใด?
ท่านคิดว่าใช้ได้ไหมในการทำงานของท่าน?
3. การเป็นคนรับใช้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการทรงเรียกให้ท่านเป็นผู้นำอย่างไรบ้าง?
4. ในวันนี้ท่านจะทูลขอพระเจ้าเกี่ยวกับการเป็นผู้นำของท่านอย่างไรบ้าง?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com
081-289 44 99
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น