11 พฤษภาคม 2555

เพ่งมองไปที่องค์พระผู้เป็นเจ้า


อ่านสดุดี บทที่ 123:1-4

ข้าพระองค์เงยหน้าขึ้นดูพระองค์...
ดั่งดวงตาของทาสมองดูมือนายของตน
ดั่งดวงตาสาวใช้เฝ้าดูมือนายหญิงของตน
ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มุ่งมองพระยาเวห์ พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ตราบจนพระองค์ทรงสำแดงพระกรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย   (สดุดี 123:1-2 อมตธรรม)


ครั้งเมื่อผมต้องพาลูกน้อยสองคนเดินทางไปต่างแดน   เป็นครั้งแรกในชีวิตของลูกน้อยทั้งสองที่ได้ขึ้นเครื่องบิน   ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน และมิตรสหายที่ทำงานในบริษัทการบินไทยได้ช่วยจองที่นั่งแถวแรกด้านขวาของเครื่องซึ่งมีที่ว่างค่อนข้างกว้างที่อยู่ข้างหน้า   เผื่อเวลาที่ลูกน้อยเบื่อหน่ายกับการต้องอยู่ในเครื่องบินเป็นเวลานาน   อาจจะสามารถมานั่งที่พื้นนั้นเล่นหรือนอนพักตามต้องการได้   แต่อย่างไรก็ตามโซนนี้เป็นบริเวณสำหรับผู้โดยสารที่มีทารกหรือเด็กเล็ก

ในช่วงที่ผมเดินทางครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาหลังสงครามเวียดนาม   มีเด็กกำพร้าที่เป็นผลพวงจากสงครามจำนวนมาก   ส่วนหนึ่งได้มีคนต่างชาติอุปการะเป็นลูกบุญธรรม   ในเที่ยวบินที่ผมโดยสารในวันนั้น   สองสามแถวแรกเป็นที่นั่งของบรรดาพ่อแม่ที่มารับทารกและเด็กเล็กชาวเวียดนาม กัมพูชา ไปเป็นบุตรบุญธรรมจำนวนมาก

สำหรับท่านที่เคยโดยสารเครื่องบินในเที่ยวบินที่มีทารกหรือเด็กเล็กร่วมเดินทางด้วย   สิ่งที่ประสบพบเสมอคือทารกและเด็กเล็กเหล่านี้จะร้องไห้โยเยมากในสองช่วงด้วยกันคือ   ช่วงที่เครื่องบินเร่งเครื่องเหินขึ้นฟ้า กับ ช่วงที่เครื่องบินลดระดับบินลงสู่รันเวย์   ทั้งสองช่วงนี้เครื่องบินจะมีเสียงดังอึงอื้อกว่าปกติ   ผมคิดว่าอาจจะทำให้เด็กเล็กและทารกเกิดความกลัวรานก็ได้   อีกทั้งการนำเครื่องบินขึ้นเหินฟ้า และ ลงสู่ลานบินในเครื่องบินมีการปรับความดันอย่างมากย่อมกระทบกระเทือนกับแก้วหูน้อยๆ และบอบบางของเด็กน้อยและทารกอย่างมากจนเกิดอาการเจ็บหูในช่วงนั้น   เด็กน้อยและทารกจึงร้องไห้จ้า   ในเที่ยวบินดังกล่าวผมต้องพบสภาพที่เล่านี้  6 ครั้งด้วยกัน (ขึ้นสามลงสาม)

ในการบินครั้งนี้ผมมีโอกาสสังเกตเห็นแม่ลูกคู่หนึ่ง   ที่ทั้ง 6 ครั้งทารกน้อยไม่ร้องไห้โยเยหรือแสดงอาการกลัวและเจ็บปวดเลย   ในขณะที่ทารกและเด็กน้อยคนอื่นๆ ร้องเสียงดัง (ซึ่งเป็นปกติ  เพราะการร้องก็เป็นการปรับความดันภายในร่างกายกับความดันภายนอกเพื่อหาจุดสมดุล)   ผมมีข้อสรุปจากการสังเกตทั้ง 6 ครั้งดังนี้ครับ   ทุกครั้งเมื่อกัปตันประกาศจะนำเครื่องบินเหินฟ้า หรือ ร่อนลงสู่ภาคพื้น   คุณแม่ที่น่ารักคนนี้จะนำขวดนมให้กับลูกน้อย   ลูกน้อยจะดูดนมและการดูดนมก็เป็นการปรับสมดุลความดันในร่างกายกับภายนอก   ดังนั้น เด็กน้อยคนนี้จึงไม่เจ็บแก้วหู   แต่มิใช่แค่นั้น   คุณแม่รู้ว่าลูกน้อยจะเกิดความกลัวลาน  ดังนั้น จึงจ้องมองไปที่หน้าและตาของลูก   แปลกครับลูกน้อยก็จะจ้องมองเบิกตากว้างมาที่ตาของผู้เป็นแม่ด้วย   พร้อมกันนั้น คุณแม่ก็คลอเพลงเบาๆ ใกล้ใบหน้าลูกน้อยด้วย   ผมจินตนาการว่า  ลูกน้อยเกิดความมั่นใจว่า คุณแม่เอาใจใส่เขาอยู่  ดูแลเขาอยู่   อีกทั้งมีการสื่อสารผ่านท่าทางหน้าตาของแม่ด้วย   ที่สำคัญเด็กน้อยพุ่งความสนใจไปยังเสียงเพลงของแม่ที่ทำให้เขามั่นใจ   แทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่เสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์เครื่องบินที่สร้างแต่ความหวาดกลัว

เมื่อมาอ่านพระธรรมสดุดี 123:2 ทำให้คิดถึงประสบการณ์ที่เล่ามาข้างต้น   ผู้เขียนสดุดีกล่าวถึงประสบการณ์ของตนว่า   เมื่อตนกำลังเผชิญหน้ากับความกลัว  ความรู้สึกชีวิตไม่มั่นคง  เกิดวิกฤติในชีวิตเขา “มุ่งมอง” ที่พระยาเวห์  ที่ “มือ” ของเจ้านาย หรือ นายหญิง   คือการมองไปที่พระราชกิจที่พระองค์เคยกระทำในชีวิตของเรา  ในสังคม  ในธรรมชาติ  และในประวัติศาสตร์ของเรา   นอกจากนั้นแล้ว การ “มุ่งมองที่มือ” ยังเป็นการมุ่งมองและแสวงหาการปกป้องจากพระองค์ในภาวะที่ชีวิตสั่นคลอน  ไม่มั่นคง  อนาคตมืดมน  ความหวังดับวูบ

ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต   ที่ตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน   ประสบการณ์ของผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าคือการมุ่งมอง หรือ เพ่งมองไปที่พระหัตถ์แห่งการชูช่วยของพระเจ้า   เหมือนเด็กน้อยคนนั้นเพ่งมองที่ดวงตาของแม่ที่ให้ความมั่นใจ   และเงี่ยหูฟังเสียงเพลงที่แม่ร้องที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงท่ามกลางภาวการณ์เปลี่ยนแปลงที่รุนแรง

ในวันนี้  เมื่อเราต้องตกอยู่ในภาวะความเปลี่ยนแปลงสับสน   ในสถานการณ์ที่กดดัน บีบคั้น   ปัญหารุมเร้า   ถาโถมจนล้นท่วมชีวิตของเรา   ให้เรามุ่งมองที่พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า   แทนการที่มุ่งมองไปที่ปัญหาที่เรากำลังเผชิญพบเจอ   ให้เราเงี่ยหูฟังเสียงที่เมตตาและเป็นความหวัง   เพื่อจิตใจของเราจะสงบและได้รับพลังจากพระองค์

ประเด็นสำหรับใคร่ครวญและอภิปรายในกลุ่ม

1. เมื่อชีวิตเผชิญหน้ากับวิกฤติ  ความรู้สึกที่หวั่นไหว  และเกิดความหวาดกลัว   อะไรที่ช่วยให้ท่านยังเพ่งและมุ่งมองไปที่องค์พระผู้เป็นเจ้า?
2. แล้วพระเจ้าประทานความมั่นคง สงบ จากพระองค์แก่ท่านอย่างไรบ้าง?

ใคร่ครวญภาวนา

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ในวันนี้  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ชีวิตเช่นไร
ข้าพระองค์ขอมุ่งมองที่ “พระหัตถ์” แห่งการปกป้องและชูช่วยของพระองค์
ข้าพระองค์ขอเงี่ยหูฟังพระองค์  เพื่อที่จะมีจิตใจที่สงบ และ มีชีวิตที่หวังในพระคุณ

ขอบพระคุณพระองค์   ที่ทรงเปิดเผยพระองค์แก่ข้าพระองค์
ที่ทรงทำให้ข้าพระองค์มีประสบการณ์กับพระองค์  มั่นใจในพระองค์ 
ในวันนี้โปรดให้ข้าพระองค์ได้เห็นและสัมผัสพระองค์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
จนวันหนึ่งข้าพระองค์จะได้ประสบพบพระองค์หน้าต่อหน้า    อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น