อ่านสดุดี บทที่ 123:1-4
ข้าพระองค์เงยหน้าขึ้นดูพระองค์...
ดั่งดวงตาของทาสมองดูมือนายของตน
ดั่งดวงตาสาวใช้เฝ้าดูมือนายหญิงของตน
ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายก็มุ่งมองพระยาเวห์
พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย
ตราบจนพระองค์ทรงสำแดงพระกรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย (สดุดี 123:1-2 อมตธรรม)
ครั้งเมื่อผมต้องพาลูกน้อยสองคนเดินทางไปต่างแดน
เป็นครั้งแรกในชีวิตของลูกน้อยทั้งสองที่ได้ขึ้นเครื่องบิน
ด้วยความช่วยเหลือของบริษัทจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน และมิตรสหายที่ทำงานในบริษัทการบินไทยได้ช่วยจองที่นั่งแถวแรกด้านขวาของเครื่องซึ่งมีที่ว่างค่อนข้างกว้างที่อยู่ข้างหน้า
เผื่อเวลาที่ลูกน้อยเบื่อหน่ายกับการต้องอยู่ในเครื่องบินเป็นเวลานาน อาจจะสามารถมานั่งที่พื้นนั้นเล่นหรือนอนพักตามต้องการได้
แต่อย่างไรก็ตามโซนนี้เป็นบริเวณสำหรับผู้โดยสารที่มีทารกหรือเด็กเล็ก
ในช่วงที่ผมเดินทางครั้งนั้นเป็นช่วงเวลาหลังสงครามเวียดนาม
มีเด็กกำพร้าที่เป็นผลพวงจากสงครามจำนวนมาก
ส่วนหนึ่งได้มีคนต่างชาติอุปการะเป็นลูกบุญธรรม ในเที่ยวบินที่ผมโดยสารในวันนั้น
สองสามแถวแรกเป็นที่นั่งของบรรดาพ่อแม่ที่มารับทารกและเด็กเล็กชาวเวียดนาม
กัมพูชา ไปเป็นบุตรบุญธรรมจำนวนมาก
สำหรับท่านที่เคยโดยสารเครื่องบินในเที่ยวบินที่มีทารกหรือเด็กเล็กร่วมเดินทางด้วย
สิ่งที่ประสบพบเสมอคือทารกและเด็กเล็กเหล่านี้จะร้องไห้โยเยมากในสองช่วงด้วยกันคือ ช่วงที่เครื่องบินเร่งเครื่องเหินขึ้นฟ้า กับ
ช่วงที่เครื่องบินลดระดับบินลงสู่รันเวย์
ทั้งสองช่วงนี้เครื่องบินจะมีเสียงดังอึงอื้อกว่าปกติ
ผมคิดว่าอาจจะทำให้เด็กเล็กและทารกเกิดความกลัวรานก็ได้ อีกทั้งการนำเครื่องบินขึ้นเหินฟ้า และ
ลงสู่ลานบินในเครื่องบินมีการปรับความดันอย่างมากย่อมกระทบกระเทือนกับแก้วหูน้อยๆ และบอบบางของเด็กน้อยและทารกอย่างมากจนเกิดอาการเจ็บหูในช่วงนั้น เด็กน้อยและทารกจึงร้องไห้จ้า
ในเที่ยวบินดังกล่าวผมต้องพบสภาพที่เล่านี้ 6 ครั้งด้วยกัน
(ขึ้นสามลงสาม)
ในการบินครั้งนี้ผมมีโอกาสสังเกตเห็นแม่ลูกคู่หนึ่ง ที่ทั้ง 6 ครั้งทารกน้อยไม่ร้องไห้โยเยหรือแสดงอาการกลัวและเจ็บปวดเลย ในขณะที่ทารกและเด็กน้อยคนอื่นๆ ร้องเสียงดัง (ซึ่งเป็นปกติ
เพราะการร้องก็เป็นการปรับความดันภายในร่างกายกับความดันภายนอกเพื่อหาจุดสมดุล) ผมมีข้อสรุปจากการสังเกตทั้ง 6 ครั้งดังนี้ครับ
ทุกครั้งเมื่อกัปตันประกาศจะนำเครื่องบินเหินฟ้า หรือ
ร่อนลงสู่ภาคพื้น
คุณแม่ที่น่ารักคนนี้จะนำขวดนมให้กับลูกน้อย
ลูกน้อยจะดูดนมและการดูดนมก็เป็นการปรับสมดุลความดันในร่างกายกับภายนอก ดังนั้น เด็กน้อยคนนี้จึงไม่เจ็บแก้วหู แต่มิใช่แค่นั้น คุณแม่รู้ว่าลูกน้อยจะเกิดความกลัวลาน ดังนั้น จึงจ้องมองไปที่หน้าและตาของลูก
แปลกครับลูกน้อยก็จะจ้องมองเบิกตากว้างมาที่ตาของผู้เป็นแม่ด้วย พร้อมกันนั้น คุณแม่ก็คลอเพลงเบาๆ ใกล้ใบหน้าลูกน้อยด้วย ผมจินตนาการว่า ลูกน้อยเกิดความมั่นใจว่า คุณแม่เอาใจใส่เขาอยู่ ดูแลเขาอยู่
อีกทั้งมีการสื่อสารผ่านท่าทางหน้าตาของแม่ด้วย
ที่สำคัญเด็กน้อยพุ่งความสนใจไปยังเสียงเพลงของแม่ที่ทำให้เขามั่นใจ
แทนที่จะพุ่งความสนใจไปที่เสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์เครื่องบินที่สร้างแต่ความหวาดกลัว
เมื่อมาอ่านพระธรรมสดุดี
123:2 ทำให้คิดถึงประสบการณ์ที่เล่ามาข้างต้น ผู้เขียนสดุดีกล่าวถึงประสบการณ์ของตนว่า เมื่อตนกำลังเผชิญหน้ากับความกลัว ความรู้สึกชีวิตไม่มั่นคง เกิดวิกฤติในชีวิตเขา “มุ่งมอง”
ที่พระยาเวห์ ที่ “มือ” ของเจ้านาย หรือ
นายหญิง คือการมองไปที่พระราชกิจที่พระองค์เคยกระทำในชีวิตของเรา ในสังคม
ในธรรมชาติ
และในประวัติศาสตร์ของเรา
นอกจากนั้นแล้ว การ “มุ่งมองที่มือ”
ยังเป็นการมุ่งมองและแสวงหาการปกป้องจากพระองค์ในภาวะที่ชีวิตสั่นคลอน ไม่มั่นคง
อนาคตมืดมน ความหวังดับวูบ
ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิต ที่ตกอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน
ประสบการณ์ของผู้ที่เชื่อและไว้วางใจในพระเจ้าคือการมุ่งมอง หรือ
เพ่งมองไปที่พระหัตถ์แห่งการชูช่วยของพระเจ้า
เหมือนเด็กน้อยคนนั้นเพ่งมองที่ดวงตาของแม่ที่ให้ความมั่นใจ
และเงี่ยหูฟังเสียงเพลงที่แม่ร้องที่ทำให้จิตใจของเขาสงบลงท่ามกลางภาวการณ์เปลี่ยนแปลงที่รุนแรง
ในวันนี้
เมื่อเราต้องตกอยู่ในภาวะความเปลี่ยนแปลงสับสน ในสถานการณ์ที่กดดัน บีบคั้น ปัญหารุมเร้า ถาโถมจนล้นท่วมชีวิตของเรา
ให้เรามุ่งมองที่พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า แทนการที่มุ่งมองไปที่ปัญหาที่เรากำลังเผชิญพบเจอ ให้เราเงี่ยหูฟังเสียงที่เมตตาและเป็นความหวัง เพื่อจิตใจของเราจะสงบและได้รับพลังจากพระองค์
ประเด็นสำหรับใคร่ครวญและอภิปรายในกลุ่ม
1. เมื่อชีวิตเผชิญหน้ากับวิกฤติ
ความรู้สึกที่หวั่นไหว
และเกิดความหวาดกลัว
อะไรที่ช่วยให้ท่านยังเพ่งและมุ่งมองไปที่องค์พระผู้เป็นเจ้า?
2.
แล้วพระเจ้าประทานความมั่นคง สงบ จากพระองค์แก่ท่านอย่างไรบ้าง?
ใคร่ครวญภาวนา
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ในวันนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ชีวิตเช่นไร
ข้าพระองค์ขอมุ่งมองที่
“พระหัตถ์” แห่งการปกป้องและชูช่วยของพระองค์
ข้าพระองค์ขอเงี่ยหูฟังพระองค์ เพื่อที่จะมีจิตใจที่สงบ และ
มีชีวิตที่หวังในพระคุณ
ขอบพระคุณพระองค์ ที่ทรงเปิดเผยพระองค์แก่ข้าพระองค์
ที่ทรงทำให้ข้าพระองค์มีประสบการณ์กับพระองค์ มั่นใจในพระองค์
ในวันนี้โปรดให้ข้าพระองค์ได้เห็นและสัมผัสพระองค์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
จนวันหนึ่งข้าพระองค์จะได้ประสบพบพระองค์หน้าต่อหน้า อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น