พระเยซูคริสต์ตรัสสอนว่า
“คนที่โศกเศร้าก็เป็นสุข
เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการหนุนใจ”
(มัทธิว 5:4 ฉบับมาตรฐาน)
ถ้าคำสอนตอนนี้ของพระเยซูคริสต์เป็นสัจจะความจริง
นี่คงเป็นสัจจะความจริงที่มีความขัดแย้งในตัวและคงเป็นสัจจะความจริงที่มีความล้ำลึกต่อการเข้าใจของปุถุชนคนธรรมดาอย่างผมแน่ หมายความว่าอะไรกันแน่ ที่พระเยซูตรัสว่า
“พระพรเป็นของคนโศกเศร้า” หรือ “ความสุขเป็นของคนที่โศกเศร้า” คำสอนที่แปลกประหลาดนี้หมายความว่าอะไรกันแน่!
คนโศกเศร้าที่ว่านี้เป็นใครกันแน่?
ทำไมคนๆ นั้นถึงโศกเศร้า?
แล้วเขาได้รับการหนุนใจอย่างไรบ้าง?
คำตรัสสอนนี้ทำให้ผมได้มีโอกาสคิดย้อนหลังถึงประสบการณ์ทั้งในชีวิตส่วนตัว
และ ในชีวิตบางคนที่ผมเคยรู้จักคุ้นชิน
อาจารย์บางท่านรับใช้พระเจ้ามาด้วยความจงรักภักดีและสัตย์ซื่อ แต่จู่ๆ ชีวิตของเขาพลิกเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันจากหน้ามือเป็นหลังมือ สูญเสียคู่ชีวิต
จนตนเองปรับตัวไม่ทันจนเกิดวิกฤติในความคิดและการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ศาสนาจารย์บางท่านรับใช้พระเจ้ามาตลอดชีวิตสุดท้ายต้องป่วยอย่างมากด้วยมะเร็ง แล้วความสุขเป็นของคนเช่นที่กล่าวมานี้ได้อย่างไร
ผมเคยอ่านเรื่องราวของ ปีเตอร์ เบลคมอร์ (Peter
Blakmore) ศิษยาภิบาลคริสตจักรที่
โอ๊คปาร์ค อิลลินอยส์ (Harrison Street Bible Church in Oak Park, Illinois) ในตอนนั้นท่านอายุ 42 ปี นั่งอยู่บนล้อเข็น
ตลอดชีวิตของท่านใช้ชีวิตในคริสตจักรแห่งนี้ ยกเว้นช่วงที่ไปเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยเท่านั้น พ่อของท่านเป็นศิษยาภิบาลแห่งนี้กว่า 30 ปี
และท่านได้รับมรดกตกทอดรับใช้พระเจ้าในคริสตจักรแห่งนี้ต่อจากพ่อ
ในวันนั้น
ศิษยาภิบาลปีเตอร์ร่วมในกลุ่มอธิษฐานโดยนั่งในรถเข็น เนื่องจากท่านมีอาการเจ็บปวดมาเป็นเวลานาน แต่แพทย์ก็ไม่สามารถตรวจพบสาเหตุของการเจ็บปวด จนวันหนึ่งได้ตรวจพบเนื้องอก จึงทำการตัดเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ
ใช้เวลานานในการตรวจอย่างละเอียดและพบว่าเป็นเนื้อร้ายที่กำลังก่อตัวเป็นมะเร็ง ท่านเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัด หวังที่จะรักษาแบบถอนรากถอนโคน แต่ในวันนั้นท่านได้รับความเจ็บปวดอย่างมากจากมะเร็งดังกล่าว
ลูกคนโตต้องช่วยลูบไล้ข้างหลังของพ่อเมื่อเจ็บปวดมาก
เผชิญหน้ากับรังสีความโชติช่วงแห่งพระสิริของพระเจ้า
ในกลุ่มอธิษฐานในวันนั้น
ศิษยาภิบาลปีเตอร์เป็นผู้อธิษฐานคนสุดท้าย ท่านอธิษฐานพอจับใจความได้ดังนี้ “...ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อข้าพระองค์ตรวจพบว่า
ข้าพระองค์เป็นมะเร็ง
สิ่งเดียวที่ข้าพระองค์ทูลขอต่อพระองค์คือ ขอพระองค์ทรงใช้เหตุการณ์นี้ให้เกิดการถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์
ที่พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานมากมายล้นเหลือของข้าพระองค์ ถ้าเป็นไปได้แล้ว
ข้าพระองค์อยากจะลุกขึ้นและสรรเสริญพระองค์
แต่ถ้าเป็นไปไม่ได้ ข้าพระองค์ก็ยังจะถวายพระเกียรติแด่พระสิริของพระองค์จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต...”
ภายหลังการอธิษฐาน ได้มีผู้มาพูดคุยกับ
ศบ.ปีเตอร์ เป็นการส่วนตัวได้พบว่า สุขภาพของท่านไม่ค่อยดี เนื้อร้ายตอนนี้เป็นมะเร็งที่ปอดข้างขวา แล้วลามไปที่กระดูกซี่โครงบางซี่ และนี่คือสาเหตุที่เขามีอาการเจ็บปวดมากขึ้น
ศบ.ปีเตอร์ บอกกับผู้มาขอพูดคุยด้วยว่า หมอได้บอกท่านว่าตอนนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นมะเร็งชนิดใดในสองชนิด ถ้าเป็นชนิดแรก ท่านจะมีชีวิตไปได้อีก 2-3 สัปดาห์
แต่ถ้าเป็นมะเร็งชนิดที่สองก็จะมีชีวิตไปอีก 1-2
เดือน
ท่านบอกเรื่องราวเหล่านี้อย่างสงบ ไม่มีอาการกลัวหรือตระหนกกังวล ขณะที่พูดท่านยังยิ้มแย้มไปด้วย ผู้พูดคุยด้วยตั้งข้อสังเกตว่า
ขณะที่สนทนาด้วยกันสีหน้าของ ศบ.ปีเตอร์เปล่งปลั่ง หน้าเหมือนทอแสงดั่งพระสิริของพระเจ้า
ตามที่เคยเกิดขึ้นกับโมเสสที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ศบ.ปีเตอร์ ท่านได้เผชิญหน้ากับพระเจ้า
หน้าตาเปล่งปลั่ง ในตอนนี้จึงไม่มีสิ่งอื่นใดที่สำคัญต่อท่านอีกแล้ว
สืบเสาะรอยพระบาทของพระเจ้าไม่พบ
ศบ.ปีเตอร์ บอกว่า เมื่ออาทิตย์แล้วเป็นอาทิตย์แรกที่ท่านกลับมาเทศนาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ว่างเว้นไม่ได้เทศนาเป็นเวลา 7 สัปดาห์
แต่สมาชิกต้องช่วยกันอุ้มท่านนั่งลงในรถเข็น แล้วนำท่านขึ้นไปที่ธรรมมาสน์
แต่ท่านก็พบว่าท่านมีพลังในชีวิตที่จะเทศนา ท่านเทศนาเป็นเวลา 1
ชั่วโมง ท่านเทศนาจากพระธรรมโรม 11:33 เรื่อง “ทางของพระองค์ก็เหลือจะสืบเสาะได้”
ท่านบอกว่าพระธรรมตอนนี้มีความหมายว่า ท่านไม่สามารถที่จะสืบเสาะหา “รอยพระบาทของพระเจ้า” กล่าวคือ
เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าพระเจ้ามาจากไหน
และก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด
สิ่งที่ท่านรู้และบอกได้แน่นอนคือ
พระองค์อยู่กับท่านท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของท่าน
ห้องว่างเปล่า
ศิษยาภิบาลที่มาอธิษฐานร่วมกันต่างลาจากไปหมดแล้ว ศบ.ปีเตอร์กล่าวเป็นประโยคสุดท้ายกับผู้ที่สนทนากับท่านว่า “ตลอดชีวิตของผม ผมพูดถึงเรื่องพระคุณของพระเจ้า
และพยายามที่จะให้คนได้ยินถึงพระคุณของพระเจ้า ตอนนี้พวกเขาสนใจสิ่งที่ผมพูด
เพราะว่าตัวผมได้พบสิ่งยากลำบากเหล่านั้นด้วยตัวของผมเอง และบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า
พระคุณของพระเจ้ามีเพียงพอในทุกสถานการณ์ลำบากในชีวิต” ลูกชายของท่านเริ่มเข็นท่านออกจากห้องนั้น ถึงแม้ท่านจะเจ็บปวดตัวมาก แต่ท่านยังยิ้มและโบกมือลา
ในสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมคิดถึงคำกล่าวของเปาโลที่ว่า
“...ถึงแม้ว่าภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ วัน” (2โครินธ์ 4:16)
แต่คำถามก็ยังค้างคาใจผมอยู่ “ทำไม ศบ.ปีเตอร์ จะต้องด่วนตาย...ทั้งๆ ที่อายุยังไม่เท่าไหร่ และสิ่งที่ท่านจะทำแก่โลกก็ยังมีอีกมากมาย?
นี่เป็นความล้ำลึก
ที่พระเจ้าเท่านั้นทรงรู้
ความพยายามของมนุษย์ที่จะพยายามจะอธิบายสิ่งเหล่านี้มักประสบกับความผิดพลาดคลาดเคลื่อน คำตอบต่อคำถามที่ว่าทำไมนั้น
มีคำตอบแน่นอน
แต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ถึงคำตอบดังกล่าว
คำตอบต่อคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ อาจจะสามารถตอบอย่างที่พระเจ้าทรงตอบโมเสสว่า
“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” (อพยพ 3:14 ฉบับมาตรฐาน)
เป็นคำตอบที่คนถามหลายคนยังต้องการคำอธิบายคำตอบนี้ เพราะคำตอบจากพระเจ้านั้นเป็นคำตอบที่เป็นบุคคล มิใช่คำอธิบายด้วยหลักการเหตุผล โมเสสค่อยๆ เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น
จากการที่พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในเหตุการณ์ต่างๆ
ทำให้โมเสสและชนอิสราเอลรู้จักความเป็นพระเจ้าของพระองค์มากยิ่งขึ้น
“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” บางท่านคงยังมีคำถามในใจว่า “ตอบแบบนี้มันยังไม่พอ ขอตอบแบบตรงไปตรงมาได้ไหม?”
ถ้าความเป็นพระเจ้าเป็นคำตอบที่ยังไม่เพียงพอแล้ว
คำตอบอะไรอีกล่ะที่จะเพียงพอสำหรับคำถามในใจของท่าน?
พระราชกิจแห่งการหนุนใจของพระเจ้า
“คนที่โศกเศร้าเป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการหนุนใจ” พระคัมภีร์ได้เปิดเผยถึงสัจจะความจริงในพระราชกิจแห่งการหนุนใจจากพระเจ้า
1. พระเจ้าผู้ทรงเคียงข้างผู้ที่หัวใจแตกสลาย
ในสดุดี 34:18
ผู้ประพันธ์ได้เขียนจากประสบการณ์ชีวิตของท่านว่า “พระยาเวห์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย
และทรงช่วยผู้ที่สิ้นหวัง” (ฉบับมาตรฐาน)
นี่เป็นทั้งประสบการณ์จริงในชีวิตและเป็นพระสัญญาจากพระเจ้าว่า
พระองค์ทรงสถิตเคียงข้างเราท่ามกลางความเจ็บปวดในชีวิต โดยทางองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราในเวลาที่เราต้องประสบกับ “มหันตทุกข์”
เราสามารถสัมผัสกับการทรงอยู่เคียงข้างของพระองค์ด้วยสัมผัสเหนือความจำกัดของความเป็นมนุษย์ เราได้ยินเสียงของพระองค์ที่มิใช่ศัพท์สำเนียงเสียงพูดทั่วไป
คริสเตียนหลายท่านสามารถเป็นพยานถึงประสบการณ์ในทำนองนี้เมื่อชีวิตของเขาต้องตกอยู่ท่ามกลางอันตรายและเจ็บปวด
2. ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากคือโอกาสที่พระเจ้าประทานให้เราได้เข้าใกล้พระองค์
ในพระธรรมสดุดีบทเดียวกันนี้ ดาวิดได้ประกาศว่า “ข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยาเวห์
และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า
และทรงกู้ข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งสิ้น” (ข้อ 4) ความทุกข์ยากลำบากทำให้เราหันกลับมาหาพระเจ้า
ในเมื่อไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราหันกลับมาหาพระองค์ได้
เมื่อไม่นานมานี้ นักโทษหญิงโมนิกา (Monica) ได้เขียนจดหมายถึงองค์กรคริสเตียนแห่งหนึ่ง ในจดหมายตอนหนึ่งความว่า
“ดิฉันได้อ่านหนังสือ “An Anchor for the Soul” เมื่ออ่านจบแล้วดิฉันกลับอ่านซ้ำใหม่อีกรอบ... ดิฉันเชื่อจริงๆ ว่าดิฉันได้รับพระพรอย่างมากจากสถานการณ์ที่ดิฉันต้องเป็นอยู่ในขณะนี้
เพราะตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าตนเองได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ถ้าดิฉันมิได้ถูกจับ และติดคุก
ดิฉันคิดว่าตนเองจะไม่มีทางที่จะมารู้จักกับพระเยซูคริสต์อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้...”
ปกติทั่วไปแล้ว “คุก” มิใช่สิ่งดีในชีวิต
แต่การต้องติดคุกจะกลับกลายเป็นสิ่งดียิ่งถ้าทำให้เราหันกลับมาหาพระเจ้า ดังนั้น
การที่เราต้องประสบความความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสหรือโรคภัยไข้เจ็บ แล้วเราอธิษฐานมากขึ้น ด้วยจิตใจที่ร้อนรน
ศรัทธาแรงกล้ามากขึ้นในช่วงเวลาวิกฤติเหล่านั้น
เพราะในเวลาเช่นนั้นเรารู้แน่แก่ใจแล้วว่า
ถ้าพระเจ้าไม่ทรงช่วยชีวิตเราล่มจมแน่
บางครั้ง พระเจ้าทรงอนุญาตให้หลายเหตุการณ์เกิดขึ้นแก่ชีวิตของเรา เพื่อที่จะกระตุ้นให้เรามีความสนใจทั้งสิ้นในชีวิตของเรามุ่งตรงไปที่พระองค์ ในที่นี้หมายความว่า
เมื่อชีวิตของเราแต่ละคนต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก
พระเจ้าทรงใช้เหตุการณ์ความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของเราครั้งนั้นๆ กระตุ้นเตือนให้เราหันกลับมาหาพระองค์ เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ใกล้เรา เหตุร้ายในชีวิตแทนที่จะจะสร้างความเลวร้ายแก่ชีวิตของเรา
แต่พระองค์ใช้สถานการณ์ที่เลวร้ายนั้นเสริมสร้างให้เราได้มีโอกาสที่จะใกล้ชิดสนิทแนบกับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
3. เมื่ออยู่ในเวลาที่ทุกข์ยากลำบาก ชีวิตเราเติบโตเข้มแข็งขึ้นเร็วกว่าเมื่อชีวิตสุขสบาย
โรม 5:2-4 เปาโลได้อธิบายถึงกระบวนการที่พระเจ้าทรงใช้ในการพัฒนาวุฒิภาวะและบุคลิกภาพชีวิตคริสเตียนในตัวเรา ในตอนนี้เปาโลกล่าวว่า “ยิ่งกว่านั้น
เราก็ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วย...” (ข้อ 3
ฉบับมาตรฐาน)
ในที่นี้เปาโลมิได้พูดผิดแน่ๆ
และเปาโลก็มิได้กำลังเผยแพร่ปรัชญาชีวิตทุกขนิยมเช่นกัน นี่เราต้องชัดเจนว่า
เปาโลมิได้กล่าวว่าคริสเตียนชื่นชมยินดีเพราะเราได้รับความทุกข์ยากลำบาก แต่เปาโลบอกกับคริสเตียนว่า ให้เราชื่นชมยินดีท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายเจ็บปวด
คริสเตียนสามารถที่จะมีชีวิตชื่นชมยินดีได้ เพราะในสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้น
พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจที่สำคัญของพระองค์ในชีวิตของเรา พระคัมภีร์ตอนนี้ต่อไปอีก 2-3 ข้อได้อธิบายถึงกระบวนการในเรื่องนี้
กล่าวคือ
ความทุกข์ยากลำบากทำให้เกิดความทรหด
ความทรหดทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เป็นเช่นนี้ทำให้เรามีความหวัง
และเมื่อเรามีความหวังจึงไม่ทำให้เราต้องผิดหวัง
เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้เข้าสู่จิตใจของเราโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์(ข้อ
5)
กระบวนการนี้เริ่มต้นที่ความทุกข์ยากลำบากลงท้ายด้วยความรักของพระเจ้า เป็นกระบวนการที่เริ่มต้นท่ามกลางความสิ้นหวังแต่จบลงด้วยความหวัง
การที่เราได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้าก็เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ผ่านท่ามกลางชีวิตที่ทุกข์ยาก และนี่คือพระคุณของพระเจ้า
ที่ทรงทำพระราชกิจท่ามกลางความสิ้นหวังของเรา
จนนำเราให้พบกับความหวังในพระองค์
4.
ประสบการณ์การทรงหนุนใจจากพระเจ้าในความทุกข์ เราจึงหนุนใจคนอื่นที่ตกในความทุกข์ได้
2โครินธ์ 1:4
บอกเราว่า “พระเจ้าทรงหนุนใจเราในความยากลำบากทั้งหมดของเรา
เพื่อเราจะสามารถหนุนใจคนทั้งหลายที่มีความทุกข์ยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่ง
ด้วยการหนุนใจซึ่งเราเองได้รับจากพระเจ้า” (ฉบับมาตรฐาน) คำว่า “หนุนใจ”
ในภาษากรีกที่ใช้ในพระคัมภีร์ตอนนี้
เป็นคำเดียวกันที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ใน มัทธิว 5:4
ด้วยเช่นกัน
ในความทุกข์ยากลำบากของเราพระเจ้าทรงหนุนใจเรา และเมื่อเราเข้มแข็งและเติบโตขึ้น เราสามารถที่จะอภิบาลคนเหล่านั้นที่ตกในความทุกข์ยากลำบากด้วยการหนุนใจอย่างพระองค์ในพระนามของพระองค์
ไม่มีใครจะเข้าใจถึงความเจ็บปวดในการเป็นโรคมะเร็งได้เท่ากับคนที่เคยเป็นโรคมะเร็ง, ไม่มีความรู้ถึงความเจ็บปวดทางกาย ใจ
และวิญญาณของผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ได้ดีเท่ากับคนที่ป่วยเป็นเอดส์, ไม่มีใครที่จะรู้สึกเจ็บปวดของการสูญเสียลูกได้ดีเท่ากับคนที่เคยสูญเสียลูก
จากการที่เคยมีส่วนในงานพันธกิจเอดส์ผมพบว่า คนที่อภิบาลชีวิตผู้ป่วยเอดส์ได้ดียิ่งคือคนที่ป่วยเป็นเอดส์เพราะเคยสัมผัสกับความเจ็บปวดในชีวิตและพระคุณของพระเจ้าในวิกฤติ จึงสามารถช่วยเพื่อนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีด้วยกัน เพราะผู้คนเหล่านี้สามารถบอกกับคนอื่นว่า “พระเจ้าจะทรงเอาใจใส่และหนุนใจคุณได้
เพราะพระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นกับชีวิตของฉันมาก่อน”
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น