อ่าน 2 ซามูเอล บทที่ 11
ดาวิดสั่งอุรียาห์ว่า “จงลงไปบ้านของเจ้า
และล้างเท้าของเจ้าเสีย”
อุรียาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง
และมีคนนำของประทานจากพระราชาตามหลังเขาไปด้วย แต่อุรียาห์นอนที่ประตูพระราชวังพร้อมกับมหาดเล็กทั้งหมดของเจ้านายของเขา และไม่ได้ไปที่บ้านของเขา...
ดาวิดทรงเรียกเขามา เขาก็รับประทานและดื่มเฉพาะพระพักตร์ และพระองค์ทรงทำให้เขามึนเมา
ในตอนเย็นเขาก็ออกไปนอนกับพวกข้าราชการของเจ้านายของเขา แต่ไม่ได้ลงไปบ้านของเขา...
พอรุ่งเช้าดาวิดทรงเขียนถึงโยอาบ
และส่งไปกับมืออุรียาห์
ดาวิดทรงเขียนจดหมายนั้นว่า
“จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่กองหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขา เพื่อให้เขาถูกฆ่าตาย...
เมื่อภรรยาของอุรียาห์ทราบว่า อุรียาห์สามีของนางสิ้นชีวิตแล้ว นางก็คร่ำครวญเรื่องสามีของนาง เมื่อการไว้ทุกข์ผ่านไปแล้ว ดาวิดก็ส่งคนให้ไปรับนางมาที่พระราชวัง และนางก็ได้เป็นมเหสีองค์หนึ่งของพระองค์ ประสูติโอรสองค์หนึ่งให้พระองค์ แต่สิ่งซึ่งดาวิดทำนั้นชั่วร้ายในสายพระเนตรพระยาเวห์ (2ซามูเอล 11:8-9,
13, 15 และ 27)
สิ่งสำคัญประการหนึ่งในภาวะผู้นำคือ
การมีจริยธรรมคุณธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า
และภาวะผู้นำที่ไร้คุณธรรมและจริยธรรมนั้นก็มีรากมาจาก “ใจ” เช่นกัน พระคัมภีร์ได้เตือนในเรื่องนี้ไว้มากมาย ในพระธรรมปฐมกาลได้ชี้ให้เห็นเด่นชัดว่า “พระยาเวห์ทรงเห็นความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน
และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดมา”
(ปฐมกาล 6:5 ฉบับมาตรฐาน) การคิดการตัดสินใจในการกระทำเรื่องต่างๆ ของมนุษย์ล้วนมาจาก
“ใจ” ทั้งสิ้น “จงระมัดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ” (สุภาษิต
4:23)
และที่สำคัญคือสิ่งชั่วสิ่งร้ายที่มนุษย์กระทำก็ล้วนมาจากใจภายในทั้งสิ้น “ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน
การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การขโมย
การเป็นพยานเท็จ
การใส่ร้ายก็ล้วนออกมาจากใจ” (มัทธิว 15:19
ฉบับมาตรฐาน)
ผู้นำประเทศอย่างกษัตริย์ดาวิดก็ติดกับดัก
“จากใจ” ของตนเองเช่นกัน
ยังผลให้คุณธรรมจริยธรรมของเขาต้องสะดุดล้มลง
สร้างความด่างพร้อยแก่ชีวิตของตนมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เรื่องการวางแผนแย่งชิงนางบัทเชบาจากอุรียาห์ทหารที่จงรักภักดี
สัตย์ซื่อ และมีวินัยในกองทัพของตน ทั้งหมดนี้กษัตริย์ดาวิดผู้นำอิสราเอลต้องล้มคว่ำคะมำลงทั้งชีวิต
เพราะเขาเป็นผู้นำที่ล้มเหลวในทางจริยธรรม
จะเรียกว่าเป็นการสร้างความวิบัติหายนะด้านจริยธรรมในประเทศอิสราเอลก็ว่าได้ ที่ว่าสิ่งเหล่านี้มาจาก “ใจ”
ของผู้นำอย่างกษัตริย์ดาวิดเพราะเขาคิด ไตร่ตรองเป็นขั้นเป็นตอน เพียงเพื่อให้ได้นางบัทเชบามาเป็นมเหสีของตน และเพื่อปิดบังสิ่งที่ตนและนางบัทเชบาได้ผิดประเวณีจนตั้งท้อง
ให้เราศึกษาถึงแผนการร้ายจาก “ใจ”
ของกษัตริย์ดาวิดที่วางแผนอย่างแยบยลเป็นขั้นเป็นตอน
และนี่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าดาวิดในฐานะผู้นำของอิสราเอลตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่เป็น
“วิบัติจริยธรรม” ในเวลานั้น
1. ดาวิดเห็นบางบัทเชบาอาบน้ำอยู่เกิดถูกตาต้องใจ
ใช้ความเป็นผู้นำที่มีอำนาจสืบค้นข้อมูลของหญิงงามคนนั้น ดาวิดรู้ว่านางมีสามีแล้ว สามีเป็นทหารรับใช้ในกองทัพของตนที่กำลังรับใช้ประเทศชาติในสนามรบ แต่เพราะต้องการตอบสนอง “ใจ”
ของตนเองที่มันเรียกหานาง
ส่งคนไปรับนางมาแล้วลงเอยด้วยการมีเพศสัมพันธ์ผิดประเวณีกับนาง พระคัมภีร์ได้บันทึกชัดเจนว่า นางบัทเชบาไม่ได้ท้องกับสามีของตนมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้เจ็ดวันนางมีประจำเดือน และหลังจากนั้นนางตั้งครรภ์ และแน่นอนเป็นการตั้งครรภ์กับดาวิด เป็นลูกที่เกิดจากการผิดประเวณี
และในเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้คนที่รู้เห็นด้วย
อย่างน้อยที่สุดทหารลิ่วล้อของดาวิดที่พานางบัทเชบาเข้าวัง และผู้ที่เป็นคนกลางสื่อสารระหว่างบัทเชบากับกษัตริย์ดาวิด
2.
เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา เพื่อกลบเกลื่อนที่ผู้นำประเทศกระทำผิดจริยธรรมทางเพศ กษัตริย์ดาวิดวางแผนเรียกตัวอุรียาห์สามีของนางบัทเชบากลับจากแนวรบสงคราม
เพราะหวังว่าเมื่อกลับมาเขาจะกลับบ้านไปหลับนอนกับนางบัทเชบาผู้เป็นภรรยา ก็จะได้ “สวมเขา” ว่า ที่นางบัทเชบาท้องเพราะการกลับมาของอุรียาห์ แต่เนื่องจากอุรียาห์ เป็นทหารที่จงรักภักดี
และ สัตย์ซื่อต่อกองทัพ เขาไม่ยอมกลับไปกินนอนสะดวกสบายที่บ้าน
แต่เขากลับไปนอนที่ประตูพระราชวังกับพวกมหาดเล็ก (2 ซามูเอล 11:6-9) ความทราบถึงกษัตริย์ดาวิดและรู้ว่าแผนการขั้นที่หนึ่งล้มเหลว ผู้นำอย่างดาวิดใช้แผนขั้นที่สองอย่างไร้จริยธรรม
3.
ดาวิดให้ทหารพาอุรียาห์เข้าวังมาเลี้ยงพร้อมกับมอมเหล้า
โดยหวังว่าเมื่อเมาแล้วจะกลับไปหลับนอนกับภรรยา แต่เหตุการณ์ก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ หลังจากนั้นอุรียาห์ก็ไปนอนกับพวกข้าราชการของเจ้านายของเขา
(ข้อ 13)
4.
เมื่อกษัตริย์ดาวิดเห็นว่า
แผนขั้นที่สองล้มเหลวคงคิดในใจว่า หมดทางเลือก จึงส่งอุรียาห์กลับไปยังกองทัพที่กำลังทำสงครามอยู่
แต่มีการสั่งอย่างเป็นการลับให้โยอาบที่เป็นแม่ทัพช่วยจัดการต่อ โดยสั่งว่า “จงตั้งอุรียาห์ให้อยู่กองหน้าของการรบที่ดุเดือดที่สุด
แล้วให้พวกเจ้าถอยไปจากเขาเพื่อให้เขาถูกฆ่าตาย” (ข้อ 15) ครั้งนี้
อุรียาห์ตายตามแผนการชั่วร้ายของดาวิดที่คิดจาก “ใจ” ที่แย่กว่านั้นคือ
สำนึกทางด้านจริยธรรมของกษัตริย์ดาวิดเลวร้ายลงอย่างยิ่ง จนมองว่าการที่ทหารคนหนึ่งถูกฆ่าตายเป็นเรื่องธรรมดาในสงคราม
กษัตริย์ดาวิดส่งข่าวไปยังโยอาบที่กำลังคุมกองทัพอยู่ว่า “อย่าให้เรื่องนี้ทำให้ท่านทุกข์ใจ เพราะดาบย่อมสังหารไม่ว่าคนนั้นหรือคนนี้...”
(ข้อ 25) แต่การตายของอุรียาห์ไม่ธรรมดา
เพราะเขาตายเพราะ “ใจ” ของดาวิดที่ไร้จริยธรรม
และไม่คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า
5.
เมื่ออุรียาห์ตาย
กษัตริย์ดาวิดก็ทำความดีในสายตาคนทั่วไป แต่เป็นความชั่วร้ายจาก “ใจ”
ที่เป็นความวิบัติทางจริยธรรม
ผู้นำอิสราเอลอย่างดาวิดให้นำนางบัทเชบามาอยู่เป็นมเหสีในวัง (ข้อ 26-27)
เป็นเหมือนกษัตริย์ผู้มีใจเมตตาต่อภรรยาของทหารหาญที่เสียชีวิต จึงชุบเลี้ยงเป็นภรรยา
และพระคัมภีร์บทนี้ปิดท้ายด้วยประโยคที่เจ็บปวดที่สุดคือ “...แต่สิ่งซึ่งดาวิดกระทำนั้นชั่วร้ายในสายพระเนตรของยาเวห์”
(ข้อ 27)
ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวไว้ว่า
“จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ใครจะรู้จักใจนั้นเล่า?”
(17:9 ฉบับมาตรฐาน)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น