สูตร ทฤษฎี หรือ แนวคิด
ประการหนึ่งในการเสริมสร้างภาวะผู้นำคือ “การเปิดใจยอมรับมุมมองใหม่หรือชุดความคิดใหม่” กูรูทางภาวะผู้นำทั้งหลายต่างไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้
แต่ในความเป็นจริงก็พบว่า ผู้นำในยุคปัจจุบันนี้ต่างปิดกั้นตนเองในเรื่องนี้อย่างลึกๆ
ในจิตใจ จนประเด็นนี้กลายเป็นความจำกัดของผู้นำยุคทันสมัยนี้
การที่เราไม่ “เปิดใจรับความคิดใหม่”
อย่างแท้จริงเพราะว่า
เราถูกครอบงำจากอิทธิพลของ “บริโภคนิยม”
ที่สร้างเราให้มีความอยากความต้องการที่จะครอบครองทุกอย่างที่เราเห็นว่าสำคัญและต้องการ การมีจิตวิญญาณที่อยากจะครอบครอง/ควบคุมสิ่งต่างๆ
และคนต่างๆ แวดล้อมนั้น ตรงกันข้ามและขัดแย้งกับการ “เปิดใจรับความคิดใหม่”
ของเรา
เพราะประการแรก เรากลัวว่าสิ่งใหม่ที่เราเปิดใจรับนั้นอาจจะมีอิทธิพลครอบงำเรา แทนที่เราจะมีอำนาจควบคุมมัน ประการที่สอง
การเปิดใจเปิดความคิดอาจจะทำให้เราสูญเสียสิ่งที่เราสามารถครอบครองและควบคุมอยู่แล้วให้หลุดลอยไปหรือเกิดความวุ่นวายสับสนจนควบคุมไม่อยู่
ซึ่งทั้งสองประการเป็นอิทธิพลที่เกิดต่อเนื่องกัน และที่ร้ายคือเรา “กลัว”
ว่ามันจะสร้างอิทธิพลมาครอบงำเรามากกว่าที่เราจะสามารถควบคุมมันได้
ในวงการของการพัฒนาศักยภาพและภาวะผู้นำในชีวิต สิ่งที่พูดกันว่า คนๆ นั้นต้องพร้อมที่จะยอมรับ
“ชุดความคิดใหม่” นั่นหมายความว่า
เราจะต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นก้าวขั้นที่จะต้องเดินเข้าไปเพราะนั่นคือก้าวขั้นที่นำการพัฒนาและการเจริญเติบโตต่อภาวะผู้นำของเรา แต่ลึกๆ แล้วเราไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง เพราะเรา “รู้สึก”
ว่าการเปลี่ยนแปลงนำความยากลำบาก อาจนำมาซึ่งการที่เราต้องยอมสูญเสีย การที่เราต้องเสี่ยง การที่เราต้องพัฒนาไม่หยุดยั้ง เรา“รู้สึกเหนื่อย” กับการเปลี่ยนแปลง “รู้สึก”
ไม่มั่นใจกับสิ่งใหม่ว่าจะสร้างความมั่นคงแก่เราหรือไม่ ตอบสนองความรู้สึกที่เราต้องการหรือไม่ ดังนั้น
เราจึงยังยึดติดกับความคิด “ชุดเดิมๆ” ที่เราเกาะยึดแน่นอยู่ ใจจริงไม่ต้องการที่จะรับเอา “ชุดความคิดใหม่”
เข้ามาในชีวิตเลย (แต่ปากก็พร่ำไปว่า “ผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องไม่ติดยึดกับชุดความคิดเดิมๆ ต้องกล้าที่เปิดมิติใหม่ กล้ารับชุดความคิดใหม่” นั่นเป็นเพียงลมปากที่พูดคล่อง
แต่เป็นขวากหนามที่รกและปิดกั้นความกล้าของผู้นำ)
ตรงกันข้าม
ผู้นำในยุคแห่งบริโภคนิยมกลับอยากได้ใคร่มีสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต แต่สิ่งที่อยากได้ใคร่มีมักมุ่งไปสู่สิ่งที่เป็นวัตถุ หรือสิ่งที่สามารถสัมผัสและ “รู้สึกได้”
หลายคนต้องการได้บ้านในฝันของตนเอง
ต้องการได้รถยนต์คันหรูที่มีประสิทธิภาพที่ตนต้องการ และ/หรือ
ที่บ่งบอกถึงฐานะ “หน้าตา” ในสังคม
หลายคนต้องการที่จะมีเงินทองทรัพย์สินมากๆ เพราะนั่นสร้าง “ความรู้สึก”
มั่งคั่งมั่นคงในชีวิต
และการที่ต้องการสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตก็เพียงเพื่อสร้างความ “รู้สึก”
ที่พึงประสงค์ของตนเท่านั้น
แต่ผู้นำปัจจุบันกลับปฏิเสธ “ความรู้สึกที่ตนไม่พึงประสงค์” แล้ววิ่งตามหาเป็นบ้าเป็นหลังกับสิ่งที่ตอบสนอง
“ความรู้สึกที่ตนพึงปรารถนา”
ผู้นำปัจจุบันวิ่งตามหา “สิ่งที่ต้องการจะได้” แต่ปฏิเสธและหลีกเลี่ยง “สิ่งที่ต้องให้” และนี่คือ “อิทธิพลจากชุดความคิดแบบบริโภคนิยม” แต่มิใช่ “อิทธิพลจากชุดความคิดแห่งแผ่นดินของพระเจ้า”
พระเยซูคริสต์ทรงถามตรงๆ กับเราในวันนี้ว่า “โอคนโง่...ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า และของที่เจ้ารวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร?”
(ลูกา 12:20 ฉบับมาตรฐาน)
เพราะชุดความคิดที่ได้รับอิทธิพลจากบริโภคนิยม เป็นชุดความคิดในการเป็นผู้นำ
“เพื่อจะได้” พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“...ทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ไหน
ใจของท่านก็อยู่ที่นั่น” (ข้อ 34)
แต่อิทธิพลทางความคิดจากพระกิตติคุณแห่งแผ่นดินของพระเจ้าคือ
การมีภาวะผู้นำ “เพื่อจะให้” พระเยซูคริสต์ตรัสว่า
“...บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่าน
เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” (มัทธิว 20:28 ฉบับมาตรฐาน)
อิทธิพลจากชุดหลักคิดจากพระกิตติคุณแห่งแผ่นดินของพระเจ้าคือ “การให้”
และที่สำคัญคือการให้ชีวิต
และพระคริสต์ทรงสำแดงตัวอย่างนี้อย่างชัดเจนจากการให้ชีวิตของพระองค์ ดังนั้น
ใครก็ตามที่จะมีภาวะผู้นำในแผ่นดินของพระเจ้า เริ่มต้นด้วยการที่พระคริสต์ทรงให้ชีวิต และใครก็ตามที่คิดจะติดตามพระองค์ก็จะต้อง
“ให้ชีวิต” ของตนแด่พระคริสต์
เพื่อชีวิตที่เคยเป็นของเราจะกลายเป็นชีวิตในแผ่นดินของพระคริสต์ แล้วพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา เพื่อใช้ชีวิตที่เรามีอยู่เป็นไปตามพระประสงค์ และนี่ก็คือการที่เรา “ให้ชีวิต”
แก่มวลชน
เปาโลบอกกับคริสตชนในกรุงโรมว่า
“...โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า
ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า ... อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่...” (โรม 12:1-2)
จากนั้น
เปาโลได้อธิบายวิธีที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระคริสต์ จะเป็นชีวิตที่ “ให้” ในลักษณะต่างๆ ตามสถานการณ์ หรือ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ชีวิตต้องพบและเผชิญ ...ผู้เชื่อแต่ละคนให้ชีวิตที่มีอยู่ให้เป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระคริสต์ เราให้ชีวิตแก่กันและกันในชุมชนแห่งความเชื่อ
(ข้อ 4-5)
และ
เปาโลพูดถึงลักษณะ “การให้”
ที่น่าสนใจยิ่งคือต้องให้จากใจให้จากชีวิต
“...ผู้ที่ให้จงให้ด้วยใจกว้างขวาง
ผู้ที่ครอบครองก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่
ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จะแสดงด้วยใจยินดี...
ขอให้ความรักมาจากใจจริง...
จงให้เกียรติกันและกัน...
จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน...
จงอุตส่าห์ต้อนรับแขกแปลกหน้า...
จงอวยพรคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน...
จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี
จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้...
จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
อย่าใฝ่สูง
แต่ยอมสมาคมกับคนต่ำต้อย
อย่าถือว่าตัวฉลาด...
อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย...
ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน
จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน...
อย่าแก้แค้น ถ้าศัตรูท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำจงให้น้ำเขาดื่ม...”
(ข้อ 8-10; 13-16; 18 และ 20 ฉบับมาตรฐาน)
และนี่คือภาวะผู้นำในแผ่นดินของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ตรัสกับประชาชนว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินองพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”
(มัทธิว 6:33 ฉบับมาตรฐาน)
วันนี้เราต้องเลือกว่าเราจะมีภาวะผู้นำแบบไหน
อะไรคือคำอธิษฐานของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
prasit.emmaus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น