17 มิถุนายน 2556

พระวิหารที่มีชีวิต

อ่านเอเฟซัส 2:19-22

19ดังนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป   แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า   และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า   20ท่านได้รับการสร้างขึ้นบนรากฐานของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ   โดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก   21ในพระองค์ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิทและประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า   22และในพระองค์ท่านก็เช่นกันรับการทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่พระเจ้าที่พระเจ้าสถิตอยู่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ (อมตธรรม)

ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 สังคมโลกในแถบเมดิเตอเรเนียนมีความคิดความเชื่อว่า  เทพเจ้าที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้จะสิงสถิตในวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น   และวิหารเหล่านั้นถูกแบ่งแยกออกชัดเจนให้เป็นบริเวณและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นที่ประกอบศาสนพิธีที่จะเป็นการติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าเหล่านั้น   ดังนั้น ถ้าใครก็ตามที่ต้องการได้รับการรักษาจากเทพเจ้า   คนๆ นั้นต้องไปที่วิหารของเทพที่ทำการรักษาเยียวยาเช่นเทพเอสคลีปิอูส (Asclepius)   ถึงแม้คนยิวทุกคนมีความคิดความเชื่อและเข้าใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถสร้างที่ประทับของพระเจ้าได้   แต่ยิวก็มีความเชื่อว่า  พวกเขาสร้างพระวิหารเพื่อที่เป็นสถาปนาพระนามของพระเจ้าไว้ที่นั่น (1พงศ์กษัตริย์ 8:12-29;  อิสยาห์ 66:1-2)   ตราบใดที่ยังมีพระมหาวิหารที่เยรูซาเล็ม   พวกยิวจะจาริกไปที่นั่นเพื่อถวายการสรรเสริญและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า (เช่น สดุดี 42:4)

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็สอนเช่นกันว่า  พระเจ้าทรงสถิตในพระวิหาร   แต่ความหมายของพระวิหารที่ใช้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง   ใน 1โครินธ์ 6:19  กล่าวถึงพระวิหารที่หมายถึงชีวิตของผู้ที่เชื่อแต่ละคนเป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์   ก่อนหน้านี้ในพระธรรมเดียวกันนี้เปาโลกล่าวถึงว่า   พระเจ้าทรงสถิตในท่ามกลางชุมชนคริสตจักรหรือชุมนุมชนของผู้เชื่อ (1โครินธ์ 3:16)   ถ้าจะมีชาวโรมมาถามเปาโลว่า   และวิหารที่สถิตของพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน?   เปาโลก็คงตอบว่า   ทุกคนที่ได้รับพระคุณของพระเจ้าโดยทางความเชื่อก็เป็นพระวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่   และทุกๆ ชุมชนแห่งความเชื่อศรัทธาก็เป็นที่สถิตของพระเจ้าด้วย

พระธรรมเอเฟซัส 2:21 เปาโลได้ใช้ภาพลักษณ์เรื่องพระวิหารที่สถิตของพระเจ้าที่กล่าวข้างต้นมาอธิบายเพิ่มเติมว่า  “ในพระองค์(พระคริสต์)ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิทและประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า”   ในที่นี้เปาโลหมายถึง  คริสตชนที่มารวมกันเป็นชุมนุมชนของผู้เชื่อศรัทธา  มิใช่คริสตชนแต่ละคน   และยังหมายถึงชุมชนผู้เชื่อเดียวกันทั้งสากลจักรวาลด้วย

เมื่อเราประยุกต์ความเชื่อความเข้าใจดังกล่าวใช้ในชีวิตประจำวันของเรา   เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมมากว่า  ในฐานะที่เราแต่ละคนเป็นคริสตชนที่ดำเนินชีวิตโลกนี้   ที่มีพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในชีวิตของเรา   ผู้คนรอบข้างสามารถเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันของเราชัดเจนมากน้อยแค่ไหน?   ทั้งในชีวิตส่วนตัวในครอบครัว  และชีวิตที่เราสำแดงออกในสังคมชุมชนและในที่ทำงาน   และถ้ามีคนที่ต้องการพบพระเจ้าที่สถิตในโลกนี้   เขาจะคิดถึงการดำเนินชีวิตของเราคริสตชนหรือไม่?

ในเวลาเดียวกัน   ชีวิตคริสตจักรของท่านที่เป็นการรวมกันเป็นชุมชนของผู้เชื่อ   ซึ่งก็เป็นที่สถิตของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์  ได้สำแดงพระคริสต์ให้...
  • ผู้คนทั้งหลายในชุมชนได้เห็นพระเยซูคริสต์จากชีวิตชุมชนคริสตจักรของเราหรือไม่ แค่ไหน?   และ
  • ผู้คนสามารถเห็นพระองค์ผ่านชีวิตด้านใดของชุมชนคริสตจักร?  
  • คนทั่วไปมองเห็นและรู้สึกต่อคริสตจักรของเราเช่นไรในทุกวันนี้?  
  • พวกเขาคิดและเห็นว่าคริสตจักรทั้งหลายในโลกนี้มีพระเจ้าสถิตอยู่จริงหรือไม่   ทำไม?  
  • เขาสามารถเห็นพระเจ้าในชีวิตคริสตจักรของเราได้อย่างไร?


แท้จริงแล้ว การสถิตอยู่ของพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตคริสตชนและชีวิตชุมชนคริสตจักรเป็นการประกาศถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่สำคัญและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง   คริสตชน/คริสตจักรไม่ต้องไปคิดทำ “อิเวนท์” หรือ “กิจกรรม” การประกาศเป็นพิเศษใดๆ เลย    เพราะถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคน และ ชีวิตชุมชนคริสตจักรสามารถสำแดงพระเยซคริสต์ผ่านการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน   วันละหลายๆ ชั่วโมง   และเป็นการประกาศอย่างกว้างขวางในทุกพื้นที่ชีวิตของสมาชิกแต่ละคน  และอย่างต่อเนื่องยั่งยืนทุกวันเช่นนี้แล้ว    เราคงไม่ต้องมาประกาศประโคมอีกต่อไปว่า   คริสตจักรของเรามีการประกาศพระกิตติคุณเป็นเป้าหมาย   เพราะชีวิตของเราคริสตชนแต่ละคนได้สำแดงให้คนอื่นได้เห็น สัมผัส และนำเขาให้ยอมรับพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิต 

นั่นแหละเป็นการประกาศพระกิตติคุณที่สำคัญ  ยิ่งใหญ่  และมีประสิทธิภาพกว่าวิธีอื่นใดทั้งสิ้น

แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรปัจจุบันกลับบิดเบือนและเบี่ยงเบนไปใช้วิธีการประกาศที่ด้อยประสิทธิภาพกว่าหรือไม่?

หรือเพราะการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสตชนส่วนใหญ่ และ คริสตจักรส่วนมากเป็น “อุปสรรค”  “หินสะดุด” ที่ผู้คนรอบข้างจะเข้ามาถึงพระเยซูคริสต์ผ่านชีวิตของคริสตชนและคริสตจักรหรือไม่?

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ

1. ชีวิตของท่านที่มีพระคริสต์และพระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่ได้สร้างความแตกต่างในชีวิตครอบครัว  ชุมชน  หรือที่ทำงานของท่านอย่างไรบ้าง?

2. ท่านคิดว่า เมื่อเพื่อนร่วมงานมองเห็นพฤติกรรมที่แสดงออกในชีวิตประจำวันของท่าน  เขาจะเอ่ยปากพูดไหมว่าพระเจ้าสถิตในชีวิตของท่าน?

3. ชุมชนคริสตจักรของท่านได้สำแดงถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ต่อสังคมชุมชนรอบข้างหรือไม่  อย่างไร?

ใคร่ครวญภาวนา

พระเจ้าองค์บริสุทธิ์  ข้าพระองค์ได้รับเกียรติและพระเมตตาอย่างยิ่งจากพระองค์ที่ให้ชีวิตของข้าพระองค์เป็นที่สถิตอยู่ของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์   ขอบพระคุณที่พระองค์สถิตอยู่ในชุมชนคริสตจักรของข้าพระองค์ด้วยเช่นกัน   ขอบพระคุณที่ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ชุมชนคริสตจักรได้สำแดงถึงการสถิตอยู่ของพระองค์สำหรับประชากรโลก

โอองค์พระผู้เป็นเจ้า   เป็นการได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ให้ชีวิตข้าพระองค์เป็นพระวิหารของพระองค์   แต่นั่นเป็นความรับผิดชอบที่สูงส่ง   โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่สำแดงให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นและสัมผัสกับพระองค์ผ่านชีวิตของข้าพระองค์   และโปรดช่วยให้ชุมชนคริสตจักรของพระองค์ในโลกนี้เป็นที่ที่ผู้คนสามารถเข้ามาสัมผัสความรัก และ มีความหวังที่จะได้พบพิงในพระองค์

ในวันนี้   ขออธิษฐานเผื่อสากลคริสตจักรทั่วโลก   โปรดให้คำพูดและการกระทำของคริสตจักรที่จะยืนหยัดมั่นคงในการเป็นพยานชีวิตที่สัตย์ซื่อของพระองค์   เพื่อพระองค์จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ   และเพื่อคนทั้งหลายจะเข้ามาหาพระองค์ผ่านการดำเนินชีวิตของข้าพระองค์และชุมชนคริสตจักร   อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น