อ่านเอเฟซัส 2:19-22
19ดังนั้นท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวแปลกถิ่นอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า 20ท่านได้รับการสร้างขึ้นบนรากฐานของเหล่าอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ โดยมีพระเยซูคริสต์เองเป็นศิลามุมเอก 21ในพระองค์ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิทและประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22และในพระองค์ท่านก็เช่นกันรับการทรงสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่พระเจ้าที่พระเจ้าสถิตอยู่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
(อมตธรรม)
ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 สังคมโลกในแถบเมดิเตอเรเนียนมีความคิดความเชื่อว่า เทพเจ้าที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้จะสิงสถิตในวิหารที่มนุษย์สร้างขึ้น
และวิหารเหล่านั้นถูกแบ่งแยกออกชัดเจนให้เป็นบริเวณและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นที่ประกอบศาสนพิธีที่จะเป็นการติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าเหล่านั้น ดังนั้น
ถ้าใครก็ตามที่ต้องการได้รับการรักษาจากเทพเจ้า
คนๆ นั้นต้องไปที่วิหารของเทพที่ทำการรักษาเยียวยาเช่นเทพเอสคลีปิอูส (Asclepius)
ถึงแม้คนยิวทุกคนมีความคิดความเชื่อและเข้าใจว่าพวกเขาจะไม่สามารถสร้างที่ประทับของพระเจ้าได้ แต่ยิวก็มีความเชื่อว่า
พวกเขาสร้างพระวิหารเพื่อที่เป็นสถาปนาพระนามของพระเจ้าไว้ที่นั่น (1พงศ์กษัตริย์ 8:12-29; อิสยาห์ 66:1-2)
ตราบใดที่ยังมีพระมหาวิหารที่เยรูซาเล็ม พวกยิวจะจาริกไปที่นั่นเพื่อถวายการสรรเสริญและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า
(เช่น สดุดี 42:4)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็สอนเช่นกันว่า พระเจ้าทรงสถิตในพระวิหาร แต่ความหมายของพระวิหารที่ใช้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใน 1โครินธ์ 6:19
กล่าวถึงพระวิหารที่หมายถึงชีวิตของผู้ที่เชื่อแต่ละคนเป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ในพระธรรมเดียวกันนี้เปาโลกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงสถิตในท่ามกลางชุมชนคริสตจักรหรือชุมนุมชนของผู้เชื่อ
(1โครินธ์ 3:16) ถ้าจะมีชาวโรมมาถามเปาโลว่า
และวิหารที่สถิตของพระเจ้าของท่านอยู่ที่ไหน? เปาโลก็คงตอบว่า ทุกคนที่ได้รับพระคุณของพระเจ้าโดยทางความเชื่อก็เป็นพระวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และทุกๆ ชุมชนแห่งความเชื่อศรัทธาก็เป็นที่สถิตของพระเจ้าด้วย
พระธรรมเอเฟซัส 2:21 เปาโลได้ใช้ภาพลักษณ์เรื่องพระวิหารที่สถิตของพระเจ้าที่กล่าวข้างต้นมาอธิบายเพิ่มเติมว่า “ในพระองค์(พระคริสต์)ทุกส่วนของอาคารทั่วทั้งหมดต่อกันสนิทและประกอบกันขึ้นเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” ในที่นี้เปาโลหมายถึง คริสตชนที่มารวมกันเป็นชุมนุมชนของผู้เชื่อศรัทธา มิใช่คริสตชนแต่ละคน และยังหมายถึงชุมชนผู้เชื่อเดียวกันทั้งสากลจักรวาลด้วย
เมื่อเราประยุกต์ความเชื่อความเข้าใจดังกล่าวใช้ในชีวิตประจำวันของเรา เป็นสิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมมากว่า ในฐานะที่เราแต่ละคนเป็นคริสตชนที่ดำเนินชีวิตโลกนี้
ที่มีพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตในชีวิตของเรา
ผู้คนรอบข้างสามารถเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตประจำวันของเราชัดเจนมากน้อยแค่ไหน? ทั้งในชีวิตส่วนตัวในครอบครัว และชีวิตที่เราสำแดงออกในสังคมชุมชนและในที่ทำงาน
และถ้ามีคนที่ต้องการพบพระเจ้าที่สถิตในโลกนี้ เขาจะคิดถึงการดำเนินชีวิตของเราคริสตชนหรือไม่?
ในเวลาเดียวกัน ชีวิตคริสตจักรของท่านที่เป็นการรวมกันเป็นชุมชนของผู้เชื่อ ซึ่งก็เป็นที่สถิตของพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้สำแดงพระคริสต์ให้...
- ผู้คนทั้งหลายในชุมชนได้เห็นพระเยซูคริสต์จากชีวิตชุมชนคริสตจักรของเราหรือไม่ แค่ไหน? และ
- ผู้คนสามารถเห็นพระองค์ผ่านชีวิตด้านใดของชุมชนคริสตจักร?
- คนทั่วไปมองเห็นและรู้สึกต่อคริสตจักรของเราเช่นไรในทุกวันนี้?
- พวกเขาคิดและเห็นว่าคริสตจักรทั้งหลายในโลกนี้มีพระเจ้าสถิตอยู่จริงหรือไม่ ทำไม?
- เขาสามารถเห็นพระเจ้าในชีวิตคริสตจักรของเราได้อย่างไร?
แท้จริงแล้ว
การสถิตอยู่ของพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตคริสตชนและชีวิตชุมชนคริสตจักรเป็นการประกาศถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่สำคัญและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง คริสตชน/คริสตจักรไม่ต้องไปคิดทำ “อิเวนท์”
หรือ “กิจกรรม” การประกาศเป็นพิเศษใดๆ เลย
เพราะถ้าสมาชิกคริสตจักรแต่ละคน และ ชีวิตชุมชนคริสตจักรสามารถสำแดงพระเยซคริสต์ผ่านการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง
และเป็นการประกาศอย่างกว้างขวางในทุกพื้นที่ชีวิตของสมาชิกแต่ละคน
และอย่างต่อเนื่องยั่งยืนทุกวันเช่นนี้แล้ว เราคงไม่ต้องมาประกาศประโคมอีกต่อไปว่า คริสตจักรของเรามีการประกาศพระกิตติคุณเป็นเป้าหมาย เพราะชีวิตของเราคริสตชนแต่ละคนได้สำแดงให้คนอื่นได้เห็น
สัมผัส และนำเขาให้ยอมรับพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิต
นั่นแหละเป็นการประกาศพระกิตติคุณที่สำคัญ ยิ่งใหญ่
และมีประสิทธิภาพกว่าวิธีอื่นใดทั้งสิ้น
แต่น่าเสียดายที่คริสตจักรปัจจุบันกลับบิดเบือนและเบี่ยงเบนไปใช้วิธีการประกาศที่ด้อยประสิทธิภาพกว่าหรือไม่?
หรือเพราะการดำเนินชีวิตประจำวันของคริสตชนส่วนใหญ่
และ คริสตจักรส่วนมากเป็น “อุปสรรค” “หินสะดุด”
ที่ผู้คนรอบข้างจะเข้ามาถึงพระเยซูคริสต์ผ่านชีวิตของคริสตชนและคริสตจักรหรือไม่?
ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญ
1. ชีวิตของท่านที่มีพระคริสต์และพระวิญญาณของพระองค์สถิตอยู่ได้สร้างความแตกต่างในชีวิตครอบครัว ชุมชน
หรือที่ทำงานของท่านอย่างไรบ้าง?
2. ท่านคิดว่า
เมื่อเพื่อนร่วมงานมองเห็นพฤติกรรมที่แสดงออกในชีวิตประจำวันของท่าน เขาจะเอ่ยปากพูดไหมว่าพระเจ้าสถิตในชีวิตของท่าน?
3. ชุมชนคริสตจักรของท่านได้สำแดงถึงการสถิตอยู่ของพระคริสต์ต่อสังคมชุมชนรอบข้างหรือไม่ อย่างไร?
ใคร่ครวญภาวนา
พระเจ้าองค์บริสุทธิ์
ข้าพระองค์ได้รับเกียรติและพระเมตตาอย่างยิ่งจากพระองค์ที่ให้ชีวิตของข้าพระองค์เป็นที่สถิตอยู่ของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์
ขอบพระคุณที่พระองค์สถิตอยู่ในชุมชนคริสตจักรของข้าพระองค์ด้วยเช่นกัน
ขอบพระคุณที่ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ชุมชนคริสตจักรได้สำแดงถึงการสถิตอยู่ของพระองค์สำหรับประชากรโลก
โอองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการได้รับเกียรติอย่างยิ่งที่ให้ชีวิตข้าพระองค์เป็นพระวิหารของพระองค์ แต่นั่นเป็นความรับผิดชอบที่สูงส่ง
โปรดช่วยข้าพระองค์ที่จะดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่สำแดงให้ผู้คนรอบข้างได้เห็นและสัมผัสกับพระองค์ผ่านชีวิตของข้าพระองค์
และโปรดช่วยให้ชุมชนคริสตจักรของพระองค์ในโลกนี้เป็นที่ที่ผู้คนสามารถเข้ามาสัมผัสความรัก
และ มีความหวังที่จะได้พบพิงในพระองค์
ในวันนี้ ขออธิษฐานเผื่อสากลคริสตจักรทั่วโลก โปรดให้คำพูดและการกระทำของคริสตจักรที่จะยืนหยัดมั่นคงในการเป็นพยานชีวิตที่สัตย์ซื่อของพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ และเพื่อคนทั้งหลายจะเข้ามาหาพระองค์ผ่านการดำเนินชีวิตของข้าพระองค์และชุมชนคริสตจักร อาเมน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น