ตลอดชีวิตของคนเราแต่ละคนคำนวนแล้วประมาณได้ว่าคนหนึ่งใช้เวลาในการทำงานในชีวิตไม่ต่ำกว่า 100,000 ชั่วโมง นี่เป็นการใช้เวลาในชีวิตที่มากที่สุด ถ้าจะไม่นับชั่วโมงการนอนหลับของคนเรา ถ้าเช่นนั้น การทำงานในชีวิตของคนเรามีคุณค่า ความหมาย และมีเป้าหมายอะไร? ที่คนเราทำงานเพราะเราจำเป็นต้องทำ หรือ เพราะเป็นพระประสงค์อันสำคัญที่ทรงมอบหมายให้มนุษย์กระทำและรับผิดชอบจากพระเจ้า?
เมื่อไม่นานมานี้ ผมต้องบินจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ กับสายการบินที่อ้างว่าบินได้นิ่มนวลดุจใยไหม ซึ่งบินเหนือระดับน้ำทะเล 35,000 ฟุต ผมหวังว่านักบินต้องคิดว่าภารกิจที่เขารับผิดชอบเป็นความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งยวด เพราะนอกจากที่จะนำตนเอง ลูกเรือ ผู้โดยสารและเครื่องบินไปถึงเป้าหมายปลายทางอย่างปลอดภัยและตามเวลาที่กำหนดแล้ว ภารกิจความรับผิดชอบประการสำคัญอีกประการหนึ่งคือความสะดวกสบายและชีวิตของทุกคนในเครื่องบินลำนั้น สำหรับคริสตชนแล้วนี่เป็นภารกิจความรับผิดชอบที่ “พระเจ้าทรงมอบหมายและทรงเรียก” ให้กระทำ นี่เป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์”
แล้วความรับผิดชอบของทีมงานและลูกเรือบนเครื่องบินล่ะ เป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์” ด้วยหรือไม่? แน่นอนครับ พวกเขาต้องเอาใจใส่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร พวกเขาเอื้ออำนวยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย รู้สึกดีมีความสุขในการเหินสู่ฟ้า เคลื่อนตัวไปในอากาศ และลงสู่ภาคพื้นดินด้วยความนิ่มนวลและปลอดภัย
แล้วเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินในสนามบินล่ะเป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์” ด้วยหรือไม่? ตั้งแต่ช่างเครื่อง คนดูแลเรื่องตั๋วเครื่องบิน เจ้าหน้าที่ดูแลกระเป๋าของผู้โดยสาร เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร งานและความรับผิดชอบของพวกเขาเป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ? แน่นอนครับพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้โดยสารทุกคนได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง แต่พระประสงค์ดังกล่าวทั้งหมดเกิดผลเป็นจริงได้ไม่มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคนที่รับผิดชอบในหน้าที่ต่างๆ ในพื้นที่ต่างๆ ของงานว่า เขาได้ทำอะไรบ้างในงานความรับผิดชอบของเขา และเขาทำอย่างไรในความรับผิดชอบนั้น
เมื่อผมมีโอกาสมองดูไปรอบๆ ในเครื่องบิน ผู้โดยสารที่ร่วมไปกับเครื่องบินลำเดียวกับผม ผมถามในใจว่า งานของผู้คนเหล่านี้คนใดบ้างที่เป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์” เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เขารับผิดชอบ เป็นหน้าที่การงานที่เขาทำได้อย่างดี เป็นการทรงเรียกของเบื้องบนผ่านการรับใช้คนอื่นในงานที่เขาทำ บางคนดูท่าทางเป็นพระเป็นนักบวช อย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ผมรู้ว่าเขาเป็นศาสนาจารย์ อีกคนหนึ่งดูน่าจะเป็นอาจารย์ เพราะเห็นเขากำลังอ่านและเขียนเกี่ยวกับแผนการสอน ผมเชื่อว่างานของเขาเป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์” ครับ โดยทั่วไปแล้วคริสตชนมักทึกทักเข้าใจเอาเองว่า งานการเป็นศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ หรือผู้รับใช้ในคริสตจักรเท่านั้นเป็นงานการทรงเรียก หรือ งานศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุด แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิดของเราในเรื่องการทรงเรียกของพระเจ้า
ผมเห็นผู้โดยสารอีกท่านหนึ่งกำลังดูที่จอเครื่องแล็บทอป หน้าจอเต็มไปด้วยตารางตัวเลข และภาพของพิมพ์เขียวมีเส้นมากมายยั้วเยี้ย ผมเดาว่าเธอต้องเป็นวิศวกรแน่ แล้วงานที่เธอทำเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เธอด้วยหรือไม่? ผมเหลือบไปเห็นนักบริหารธุรกิจท่านหนึ่ง ข้างๆ เขาน่าจะเป็นนักกฎหมายหรือทนายความ อีกคนหนึ่งหน้าคลับคล้ายคลับคลานักดนตรีที่ผมเคยเห็นในทีวี และข้างบนที่วางสัมภาระของเขามีกีตาร์ตัวใหญ่วางอยู่ ผู้คนเหล่านี้เขาได้รับการทรงเรียกและมอบหมายความรับผิดชอบจากพระเจ้าในงานที่เขาทำหรือไม่? และเขามีอะไรจะต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยหรือไม่?
คำถามเดียวกันนี้เราสามารถใช้ถามถึงแม่คนหนึ่งกับลูกน้อยสองคนที่นั่งอยู่แถวหน้า และผู้อาวุโสสามีภรรยาสองคนที่กำลังเดินทางไปพักผ่อน และนักศึกษาที่กำลังจะไปทันการเปิดภาคเรียนเทอมใหม่ คนกลุ่มนี้เขาต้องทำงานแต่เป็นงานที่ไม่ได้ค่าจ้างเงินเดือนแต่อย่างใด แล้วงานที่เขาทำเขารับผิดชอบเป็น “งานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่”? แม้จะเป็นงานที่ไม่ได้ค่าจ้างเงินเดือน แต่อาจจะเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่ง เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกให้รับผิดชอบด้วย
แล้วอะไรล่ะที่ทำให้งานที่เราทำและรับผิดชอบนั้นศักดิ์สิทธิ์? และอะไรที่บ่งชี้ว่านั่นเป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้รับผิดชอบ?
สำหรับบางงานแล้วเราทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละห้าถึงหกวัน แต่มันเป็นสิ่งที่แย่อย่างยิ่งที่เราต้องอดทนทำ เพื่อที่เราจะสามารถหารายได้ซื้ออาหารมาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ท่านเคยต้องทนทำงานด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นทาสของงานที่ทำหรือไม่? หรือท่านสามารถทำงานและมีเวลาพักผ่อนเพื่อจะกลับฟื้นกำลังใหม่ที่จะทำในสัปดาห์ต่อไปหรือไม่? หรือ เรามักตะโกนกับตนเองในใจว่า “ขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เป็นวันศุกร์” หรือ เราบอกกับตนเองว่า “ขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เป็นจันทร์” พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เราทำและรับผิดชอบในงานที่เราทำหรือไม่?
สำหรับคริสตชนแล้ว คำว่า “การทรงเรียก” ในพระคัมภีร์มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูคำว่า vocare พระคัมภีร์ใช้คำนี้ในความหมายว่าเราได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้มาดำเนินชีวิตในพระคริสต์ ให้มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ และยังหมายความว่าชีวิตของเราเป็นของพระคริสต์ และภารกิจการงานที่เรากระทำนั้นเป็นการสำแดงออกถึงความเชื่อศรัทธาของเราต่อพระเจ้า เป็นการยกย่องสรรเสริญ และชื่นชมยินดีในพระองค์ ดังนั้นจึงเป็นงานการทรงเรียกที่สำคัญยิ่งจากพระเจ้า งานที่เราทำในแต่ละวันไม่ว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบอะไร ต่างเป็นงานความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงเรียก เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้า
งานที่เราทำมาจากพระเจ้า
งานเป็นพระดำริหรือความคิดของพระเจ้าที่พระองค์ทรงโปรดปรานและ “เห็นว่าดี” ตั้งแต่เริ่มแรกการสร้างโลก และพระองค์ยังทรงสร้างอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากเรื่องราวการทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงในวันที่หก ในพระธรรมปฐมกาลได้บันทึกถึงคำตรัสของพระเจ้าว่า “...28จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด... 15 พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน” (ปฐมกาล 1:28; 2:15 มตฐ)
นี่เป็นภาพแรกที่เราได้พบว่า มนุษย์ในพระคัมภีร์เป็นเกษตรกรและดูแลจัดการสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยความปีติชื่นชม สนุก มีเป้าหมาย และรับผิดชอบให้สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ
บนรากฐานความเชื่อของคริสตชน เรามองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ทำงาน และเราผู้เป็นมนุษย์ที่ได้รับการทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า เราจึงมีศักยภาพในการทำงานฝังเร้นในชีวิตของแต่ละคน มนุษย์ทุกคนจึงเป็นผู้ทำงานด้วย มนุษย์คู่แรกร่วมในพระราชกิจแห่งการทรงสร้างและดูแลสวนของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ยังเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์อย่างพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์ มนุษย์จึงแสดงศักยภาพที่ได้จากพระเจ้าออกมาในความสามารถรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านศิลปะ ในการก่อสร้าง ในการประดิษฐ์คิดค้นนวตกรรมต่างๆ มนุษย์เรามีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักสองประการคือ การร่วมงานการเสริมสร้างที่ต่อเนื่องจากพระเจ้า และเอาใจใส่ดูแลสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรารับผิดชอบ
เป็นการยากยิ่งที่การงานของมนุษย์ที่จะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องจากการทรงสร้างของพระเจ้า แท้จริงแล้วเราเป็นผู้ร่วมงานในพระราชกิจแห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า เราได้สำแดงออกถึงพระฉายาของพระเจ้าในกิจการงานที่เรากระทำ
การทำงานเป็นการนำสู่สุขภาวะของสังคม
เป้าหมายปลายทางของมนุษย์เรานั้น “ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า” รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าและกระบวนการเสริมสร้างพัฒนาต่อเนื่อง การดูแลรักษา และการเสริมหนุนชีวิตของชุมชน เราทำภารกิจการงานของเราเพื่อก่อเกิดผลดีสำหรับประชาสังคมที่เราอยู่อาศัยและงานที่ทำ พระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำการสร้างสรรค์ อะไรบ้างที่เป็นสิ่งสร้างสรรค์ในงานที่เรากำลังทำอยู่? งานที่ท่านทำอยู่ได้ก่อเกิดประโยชน์ร่วมกันในสังคมชุมชนอะไรบ้าง? งานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เรารับผิดชอบเป็นจุดบรรจบกันของความชื่นชมยินดีในงานที่เราทำกับความจำเป็นต้องการของผู้คนได้รับการตอบสนอง
ความเข้าใจตามพระคัมภีร์เกี่ยวกับการทำงานที่กระทำเพื่อชีวิตทั้งมวลนั้น มิได้มีการแบ่งแยกว่านี่เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นเป็นงานของโลกีย์หรืองานฝ่ายโลกหรือเนื้อหนัง การแบ่งแยกงานศักดิ์สิทธิ์ออกจากงานของโลกเป็นหลักคิดของพลาโต และ นักปรัชญากลุ่มทวินิยม คำสอนในพระคัมภีร์มิได้สอนเช่นนี้เลย ทุกๆ งานเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะพระเจ้าทรงสร้างงานและมอบหมายให้เราร่วมงานต่อจากพระองค์เพื่อค้ำจุนและเสริมสร้างต่อเนื่องพระราชกิจแห่งการทรงสร้างนั้น ตามพระประสงค์ของพระองค์
การทำงานเป็นวิธีการแรกๆ ที่เราใช้ยกย่องและนมัสการพระเจ้า
คำว่า avoda ในภาษาฮีบรูตามพระคัมภีร์มีความหมายหลักสองความหมายคือ “การนมัสการพระเจ้า” และ “การทำงาน” เปาโลได้ให้กำลังใจแก่ชุมชนผู้เชื่อในโคโลสีว่า “17และเมื่อท่านทั้งหลายทำสิ่งใด...จงทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา... 23ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า...” (โคโลสี 3:17; 23 มตฐ) งานจึงเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการทำตามการทรงเรียกจากเบื้องบน และเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย
ครั้งเมื่อผมไปร่วมประชุมกับคริสตจักรในศรีลังกา ได้มีโอกาสเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองมหาสนิท ได้มีการอธิบายถึงความหมายของขนมปังและเหล้าองุ่นที่ใช้ในพิธีนี้ ทั้งขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นสิ่งที่ได้จากการทุ่มเทของความคิด ความตั้งใจ และแรงงานของคนเรา ที่นำมาถวายอยู่บนโต๊ะมหาสนิทมีคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดที่ได้รับการยกย่องให้บ่งชี้ถึงเนื้อและโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการบ่งชี้ถึงคุณค่าของการทำงานและผลงานของมนุษย์เป็นความศักดิ์สิทธิ์ และ คุณค่าที่ได้รับการยกย่อง และนี่เป็นการเชื่อมโยงทั้งสองความหมายของการทำงานและการนมัสการพระเจ้า
มีผู้เล่าเรื่องนี้ที่มีความหมายมากให้ผมฟังว่า
เมื่อเขาเดินผ่านพื้นที่ที่กำลังมีการก่อสร้างอาคารที่ใหญ่โต เขาได้มีโอกาสเข้าไปสนทนาไต่ถามคนที่กำลังก่ออิฐอาคารนั้นสามคนว่า เขากำลังทำอะไร? คนก่ออิฐคนแรกบอกว่า เขากำลังทำงานเพื่อที่จะได้ค่าจ้างเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ที่พัก และความอยู่รอดในครอบครัว ส่วนคนก่ออิฐคนที่สองตอบว่า “ฉันกำลังก่ออิฐพวกนี้เข้าด้วยกันให้เป็นกำแพงของอาคาร” ในขณะคนที่สามตอบว่า “ฉันกำลังช่วยสร้างพระมหาวิหารเพื่อเป็นที่ยกย่องสรรเสริญและเป็นที่นมัสการพระเจ้า” ทั้งสามคนทำงานอย่างเดียวกันในที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน แต่ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันจึงให้คุณค่ากับความหมายในการทำงานที่แตกต่างกันด้วย
แล้วท่านล่ะ ท่านกำลังทำอะไรอยู่? งานที่ท่านทำเป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้รับผิดชอบหรือไม่? หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ ท่านคงทำงานนั้นจากพลังสร้างสรรค์ที่มีในชีวิตของท่าน ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจและใส่ใจ เพื่อก่อเกิดผลสูงสุดตามพระประสงค์ของพระเจ้า ให้เราทำงานในแต่ละวันด้วยการทุ่มเท ด้วยคุณภาพ และด้วยความปีติชื่นชม และเมื่อนั้นเราสามารถที่จะกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า
“ขอบพระคุณพระเจ้าที่เป็นวันจันทร์ และวันศุกร์ และวันอาทิตย์”
“ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงไว้วางใจและยังใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์แต่ละวัน”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น