23 มิถุนายน 2556

มุมมองการทำงานของคริสตชน


ตลอดชีวิตของคนเราแต่ละคนคำนวนแล้วประมาณได้ว่าคนหนึ่งใช้เวลาในการทำงานในชีวิตไม่ต่ำกว่า 100,000 ชั่วโมง   นี่เป็นการใช้เวลาในชีวิตที่มากที่สุด   ถ้าจะไม่นับชั่วโมงการนอนหลับของคนเรา   ถ้าเช่นนั้น  การทำงานในชีวิตของคนเรามีคุณค่า  ความหมาย และมีเป้าหมายอะไร?   ที่คนเราทำงานเพราะเราจำเป็นต้องทำ หรือ เพราะเป็นพระประสงค์อันสำคัญที่ทรงมอบหมายให้มนุษย์กระทำและรับผิดชอบจากพระเจ้า?

เมื่อไม่นานมานี้   ผมต้องบินจากเชียงใหม่ไปกรุงเทพฯ กับสายการบินที่อ้างว่าบินได้นิ่มนวลดุจใยไหม   ซึ่งบินเหนือระดับน้ำทะเล 35,000 ฟุต   ผมหวังว่านักบินต้องคิดว่าภารกิจที่เขารับผิดชอบเป็นความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งยวด   เพราะนอกจากที่จะนำตนเอง ลูกเรือ  ผู้โดยสารและเครื่องบินไปถึงเป้าหมายปลายทางอย่างปลอดภัยและตามเวลาที่กำหนดแล้ว   ภารกิจความรับผิดชอบประการสำคัญอีกประการหนึ่งคือความสะดวกสบายและชีวิตของทุกคนในเครื่องบินลำนั้น   สำหรับคริสตชนแล้วนี่เป็นภารกิจความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายและทรงเรียกให้กระทำ   นี่เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์

แล้วความรับผิดชอบของทีมงานและลูกเรือบนเครื่องบินล่ะ  เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่?   แน่นอนครับ   พวกเขาต้องเอาใจใส่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้โดยสาร   พวกเขาเอื้ออำนวยให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบาย   รู้สึกดีมีความสุขในการเหินสู่ฟ้า  เคลื่อนตัวไปในอากาศ   และลงสู่ภาคพื้นดินด้วยความนิ่มนวลและปลอดภัย   

แล้วเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินในสนามบินล่ะเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่?   ตั้งแต่ช่างเครื่อง  คนดูแลเรื่องตั๋วเครื่องบิน  เจ้าหน้าที่ดูแลกระเป๋าของผู้โดยสาร   เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร  งานและความรับผิดชอบของพวกเขาเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ?   แน่นอนครับพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้โดยสารทุกคนได้รับความปลอดภัยในการเดินทาง   แต่พระประสงค์ดังกล่าวทั้งหมดเกิดผลเป็นจริงได้ไม่มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคนที่รับผิดชอบในหน้าที่ต่างๆ  ในพื้นที่ต่างๆ ของงานว่า  เขาได้ทำอะไรบ้างในงานความรับผิดชอบของเขา   และเขาทำอย่างไรในความรับผิดชอบนั้น

เมื่อผมมีโอกาสมองดูไปรอบๆ ในเครื่องบิน  ผู้โดยสารที่ร่วมไปกับเครื่องบินลำเดียวกับผม   ผมถามในใจว่า   งานของผู้คนเหล่านี้คนใดบ้างที่เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์”  เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เขารับผิดชอบ   เป็นหน้าที่การงานที่เขาทำได้อย่างดี   เป็นการทรงเรียกของเบื้องบนผ่านการรับใช้คนอื่นในงานที่เขาทำ   บางคนดูท่าทางเป็นพระเป็นนักบวช   อย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ผมรู้ว่าเขาเป็นศาสนาจารย์   อีกคนหนึ่งดูน่าจะเป็นอาจารย์   เพราะเห็นเขากำลังอ่านและเขียนเกี่ยวกับแผนการสอน   ผมเชื่อว่างานของเขาเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ครับ   โดยทั่วไปแล้วคริสตชนมักทึกทักเข้าใจเอาเองว่า   งานการเป็นศิษยาภิบาล  ศาสนาจารย์  หรือผู้รับใช้ในคริสตจักรเท่านั้นเป็นงานการทรงเรียก หรือ งานศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุด    แต่นั่นเป็นการเข้าใจผิดของเราในเรื่องการทรงเรียกของพระเจ้า

ผมเห็นผู้โดยสารอีกท่านหนึ่งกำลังดูที่จอเครื่องแล็บทอป   หน้าจอเต็มไปด้วยตารางตัวเลข   และภาพของพิมพ์เขียวมีเส้นมากมายยั้วเยี้ย   ผมเดาว่าเธอต้องเป็นวิศวกรแน่   แล้วงานที่เธอทำเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เธอด้วยหรือไม่?   ผมเหลือบไปเห็นนักบริหารธุรกิจท่านหนึ่ง   ข้างๆ เขาน่าจะเป็นนักกฎหมายหรือทนายความ   อีกคนหนึ่งหน้าคลับคล้ายคลับคลานักดนตรีที่ผมเคยเห็นในทีวี   และข้างบนที่วางสัมภาระของเขามีกีตาร์ตัวใหญ่วางอยู่   ผู้คนเหล่านี้เขาได้รับการทรงเรียกและมอบหมายความรับผิดชอบจากพระเจ้าในงานที่เขาทำหรือไม่?   และเขามีอะไรจะต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยหรือไม่?

คำถามเดียวกันนี้เราสามารถใช้ถามถึงแม่คนหนึ่งกับลูกน้อยสองคนที่นั่งอยู่แถวหน้า   และผู้อาวุโสสามีภรรยาสองคนที่กำลังเดินทางไปพักผ่อน   และนักศึกษาที่กำลังจะไปทันการเปิดภาคเรียนเทอมใหม่   คนกลุ่มนี้เขาต้องทำงานแต่เป็นงานที่ไม่ได้ค่าจ้างเงินเดือนแต่อย่างใด   แล้วงานที่เขาทำเขารับผิดชอบเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่”?   แม้จะเป็นงานที่ไม่ได้ค่าจ้างเงินเดือน   แต่อาจจะเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่ง   เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง   เป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกให้รับผิดชอบด้วย

แล้วอะไรล่ะที่ทำให้งานที่เราทำและรับผิดชอบนั้นศักดิ์สิทธิ์?   และอะไรที่บ่งชี้ว่านั่นเป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้รับผิดชอบ?

สำหรับบางงานแล้วเราทำงานเฉลี่ยสัปดาห์ละห้าถึงหกวัน   แต่มันเป็นสิ่งที่แย่อย่างยิ่งที่เราต้องอดทนทำ เพื่อที่เราจะสามารถหารายได้ซื้ออาหารมาเลี้ยงตนเองและครอบครัว   ท่านเคยต้องทนทำงานด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นทาสของงานที่ทำหรือไม่?   หรือท่านสามารถทำงานและมีเวลาพักผ่อนเพื่อจะกลับฟื้นกำลังใหม่ที่จะทำในสัปดาห์ต่อไปหรือไม่?   หรือ เรามักตะโกนกับตนเองในใจว่า  “ขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เป็นวันศุกร์”  หรือ  เราบอกกับตนเองว่าขอบพระคุณพระเจ้าที่วันนี้เป็นจันทร์”   พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เราทำและรับผิดชอบในงานที่เราทำหรือไม่?

สำหรับคริสตชนแล้ว  คำว่าการทรงเรียกในพระคัมภีร์มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูคำว่า vocare  พระคัมภีร์ใช้คำนี้ในความหมายว่าเราได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้มาดำเนินชีวิตในพระคริสต์   ให้มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์   และยังหมายความว่าชีวิตของเราเป็นของพระคริสต์   และภารกิจการงานที่เรากระทำนั้นเป็นการสำแดงออกถึงความเชื่อศรัทธาของเราต่อพระเจ้า  เป็นการยกย่องสรรเสริญ และชื่นชมยินดีในพระองค์   ดังนั้นจึงเป็นงานการทรงเรียกที่สำคัญยิ่งจากพระเจ้า    งานที่เราทำในแต่ละวันไม่ว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบอะไร   ต่างเป็นงานความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงเรียก   เพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้า

งานที่เราทำมาจากพระเจ้า

งานเป็นพระดำริหรือความคิดของพระเจ้าที่พระองค์ทรงโปรดปรานและเห็นว่าดีตั้งแต่เริ่มแรกการสร้างโลก  และพระองค์ยังทรงสร้างอย่างต่อเนื่อง   ภายหลังจากเรื่องราวการทรงสร้างมนุษย์ชายหญิงในวันที่หก   ในพระธรรมปฐมกาลได้บันทึกถึงคำตรัสของพระเจ้าว่า   “...28จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในท้องฟ้า กับสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดินทั้งหมด... 15 พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน” (ปฐมกาล 1:28; 2:15 มตฐ)

นี่เป็นภาพแรกที่เราได้พบว่า  มนุษย์ในพระคัมภีร์เป็นเกษตรกรและดูแลจัดการสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างด้วยความปีติชื่นชม  สนุก  มีเป้าหมาย และรับผิดชอบให้สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ

บนรากฐานความเชื่อของคริสตชน   เรามองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ทำงาน   และเราผู้เป็นมนุษย์ที่ได้รับการทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า   เราจึงมีศักยภาพในการทำงานฝังเร้นในชีวิตของแต่ละคน   มนุษย์ทุกคนจึงเป็นผู้ทำงานด้วย   มนุษย์คู่แรกร่วมในพระราชกิจแห่งการทรงสร้างและดูแลสวนของพระเจ้า   ยิ่งกว่านั้น มนุษย์ยังเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์อย่างพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรค์   มนุษย์จึงแสดงศักยภาพที่ได้จากพระเจ้าออกมาในความสามารถรูปแบบต่างๆ  ทั้งด้านศิลปะ  ในการก่อสร้าง   ในการประดิษฐ์คิดค้นนวตกรรมต่างๆ   มนุษย์เรามีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักสองประการคือ   การร่วมงานการเสริมสร้างที่ต่อเนื่องจากพระเจ้า   และเอาใจใส่ดูแลสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรารับผิดชอบ

เป็นการยากยิ่งที่การงานของมนุษย์ที่จะบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องจากการทรงสร้างของพระเจ้า  แท้จริงแล้วเราเป็นผู้ร่วมงานในพระราชกิจแห่งการสร้างสรรค์ของพระเจ้า   เราได้สำแดงออกถึงพระฉายาของพระเจ้าในกิจการงานที่เรากระทำ

การทำงานเป็นการนำสู่สุขภาวะของสังคม

เป้าหมายปลายทางของมนุษย์เรานั้นถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า”  รวมไปถึงการมีส่วนร่วมในพระราชกิจของพระเจ้าและกระบวนการเสริมสร้างพัฒนาต่อเนื่อง  การดูแลรักษา  และการเสริมหนุนชีวิตของชุมชน    เราทำภารกิจการงานของเราเพื่อก่อเกิดผลดีสำหรับประชาสังคมที่เราอยู่อาศัยและงานที่ทำ   พระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำการสร้างสรรค์   อะไรบ้างที่เป็นสิ่งสร้างสรรค์ในงานที่เรากำลังทำอยู่?   งานที่ท่านทำอยู่ได้ก่อเกิดประโยชน์ร่วมกันในสังคมชุมชนอะไรบ้าง?   งานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เรารับผิดชอบเป็นจุดบรรจบกันของความชื่นชมยินดีในงานที่เราทำกับความจำเป็นต้องการของผู้คนได้รับการตอบสนอง

ความเข้าใจตามพระคัมภีร์เกี่ยวกับการทำงานที่กระทำเพื่อชีวิตทั้งมวลนั้น   มิได้มีการแบ่งแยกว่านี่เป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์   นั่นเป็นงานของโลกีย์หรืองานฝ่ายโลกหรือเนื้อหนัง   การแบ่งแยกงานศักดิ์สิทธิ์ออกจากงานของโลกเป็นหลักคิดของพลาโต และ นักปรัชญากลุ่มทวินิยม    คำสอนในพระคัมภีร์มิได้สอนเช่นนี้เลย    ทุกๆ งานเป็นงานที่ศักดิ์สิทธิ์เพราะพระเจ้าทรงสร้างงานและมอบหมายให้เราร่วมงานต่อจากพระองค์เพื่อค้ำจุนและเสริมสร้างต่อเนื่องพระราชกิจแห่งการทรงสร้างนั้น   ตามพระประสงค์ของพระองค์

การทำงานเป็นวิธีการแรกๆ ที่เราใช้ยกย่องและนมัสการพระเจ้า

คำว่า avoda ในภาษาฮีบรูตามพระคัมภีร์มีความหมายหลักสองความหมายคือการนมัสการพระเจ้าและการทำงาน”   เปาโลได้ให้กำลังใจแก่ชุมชนผู้เชื่อในโคโลสีว่า  17และเมื่อท่านทั้งหลายทำสิ่งใด​...จงทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้าพระบิดา... 23ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า...”  (โคโลสี 3:17; 23 มตฐ)   งานจึงเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์  เป็นการทำตามการทรงเรียกจากเบื้องบน   และเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย

ครั้งเมื่อผมไปร่วมประชุมกับคริสตจักรในศรีลังกา   ได้มีโอกาสเข้าร่วมในการเฉลิมฉลองมหาสนิท   ได้มีการอธิบายถึงความหมายของขนมปังและเหล้าองุ่นที่ใช้ในพิธีนี้   ทั้งขนมปังและเหล้าองุ่นเป็นสิ่งที่ได้จากการทุ่มเทของความคิด  ความตั้งใจ  และแรงงานของคนเรา   ที่นำมาถวายอยู่บนโต๊ะมหาสนิทมีคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์ถึงขนาดที่ได้รับการยกย่องให้บ่งชี้ถึงเนื้อและโลหิตขององค์พระผู้เป็นเจ้า   เป็นการบ่งชี้ถึงคุณค่าของการทำงานและผลงานของมนุษย์เป็นความศักดิ์สิทธิ์ และ คุณค่าที่ได้รับการยกย่อง   และนี่เป็นการเชื่อมโยงทั้งสองความหมายของการทำงานและการนมัสการพระเจ้า

มีผู้เล่าเรื่องนี้ที่มีความหมายมากให้ผมฟังว่า

เมื่อเขาเดินผ่านพื้นที่ที่กำลังมีการก่อสร้างอาคารที่ใหญ่โต   เขาได้มีโอกาสเข้าไปสนทนาไต่ถามคนที่กำลังก่ออิฐอาคารนั้นสามคนว่า   เขากำลังทำอะไร?   คนก่ออิฐคนแรกบอกว่า  เขากำลังทำงานเพื่อที่จะได้ค่าจ้างเพื่อใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร  ที่พัก และความอยู่รอดในครอบครัว   ส่วนคนก่ออิฐคนที่สองตอบว่า   “ฉันกำลังก่ออิฐพวกนี้เข้าด้วยกันให้เป็นกำแพงของอาคาร”   ในขณะคนที่สามตอบว่า  “ฉันกำลังช่วยสร้างพระมหาวิหารเพื่อเป็นที่ยกย่องสรรเสริญและเป็นที่นมัสการพระเจ้า”   ทั้งสามคนทำงานอย่างเดียวกันในที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน   แต่ด้วยมุมมองที่แตกต่างกันจึงให้คุณค่ากับความหมายในการทำงานที่แตกต่างกันด้วย

แล้วท่านล่ะ  ท่านกำลังทำอะไรอยู่?    งานที่ท่านทำเป็นงานที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้รับผิดชอบหรือไม่?   หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ   ท่านคงทำงานนั้นจากพลังสร้างสรรค์ที่มีในชีวิตของท่าน   ทำด้วยความตั้งอกตั้งใจและใส่ใจ   เพื่อก่อเกิดผลสูงสุดตามพระประสงค์ของพระเจ้า    ให้เราทำงานในแต่ละวันด้วยการทุ่มเท  ด้วยคุณภาพ  และด้วยความปีติชื่นชม   และเมื่อนั้นเราสามารถที่จะกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า

ขอบพระคุณพระเจ้าที่เป็นวันจันทร์  และวันศุกร์  และวันอาทิตย์

ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงไว้วางใจและยังใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์แต่ละวัน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น