12 กันยายน 2556

เราหนี...แต่พระเจ้ายังใช้เราอีก

อ่าน   1 พงศ์กษัตริย์  18:1-18

“ท่านเคยหนีหรือไม่?”

สำหรับผมแล้วคงปฏิเสธยาก   ชีวิตนี้หนีเอาบ่อยครั้งครับ!

ส่วนใหญ่มิใช่การหนีแบบหนีออกจากบ้าน   หนีจากความขัดแย้งไม่ยอมไปพบไปเผชิญหน้ากับคนนั้นหรือสถานการณ์นั้นตรงๆ    แต่บ่อยครั้งในชีวิตของเราหนีแบบกลบเกลื่อนความรู้สึก   พยายามที่จะไม่พูดถึงมัน   หรือพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นๆ    แต่ก็ยังต้องพบเจอสถานการณ์นั้นโดยบังเอิญ หรือ เมื่อเลี่ยงไม่ได้   บ้างก็หาเรื่องอื่นทำเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์หรือภาวะความรู้สึกที่ไม่พึงประสงค์ดังกล่าว

ส่วนใหญ่เรามักมองว่าการหนีเป็นการตอบสนองแบบคนขี้แพ้  เป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหาหรือความขัดแย้งที่ประสบอย่างไร   กล่าวโดยรวมเรามักมองว่าการหนีเป็นการเลือกทางเดินที่ไม่สร้างสรรค์

ในพระคัมภีร์เราพบว่าคนสำคัญๆ ที่เลือกการหนีเป็นกลยุทธ์หนึ่งของการดำเนินชีวิตในวิกฤติ  เช่น  อาดัมและเอวาเมื่อรู้ตัวว่าได้กระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของพระเจ้า   ทั้งสองหลบซ่อนตัวจากพระเจ้า   แทนที่จะได้พบปะสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างทุกวัน   แต่วันนี้ทั้งสองหลบลี้หนีหน้าจากพระเจ้า  เขาทั้งสองไม่ต้องการเผชิญกับพระองค์   เมื่อพระเจ้าเรียกเขาทั้งสอง   เขาตอบว่าเขาหลบลี้หนีจากหน้าของพระเจ้าเพราะเมื่อได้ยินเสียงของพระองค์ก็เกิดความกลัว (ปฐมกาล 3:8-9)

ยาโคบหนีเอซาว   เพราะเอซาวหาทางฆ่ายาโคบที่ไปแย่งพรบุตรหัวปีของตน (ปฐมกาล 27-28)

โมเสสต้องหนีจากอียิปต์เพราะฟาโรห์หาทางกำจัดโมเสสที่ไปฆ่าทหารอียิปต์ (ปฐมกาล 2:14-16)

ดาวิดต้องหนีเตลิดจากกษัตริย์ซาอูลเพราะซาอูลหาทางกำจัดดาวิด   เนื่องจากประชาชนนิยมชมชอบดาวิดมากกว่า (1ซามูเอล 18)

ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งที่หนีทุกครั้งเมื่อมีวิกฤติคือ  เอลียาห์   ภายหลังที่พระเจ้าทรงให้เอลียห์เผยพระวจนะให้กษัตริย์อาหับรู้ถึงความแห้งแล้งที่พระเจ้าจะทรงให้เกิดขึ้น   พระเจ้าให้เอลียาห์หนีออกจากเมืองให้ไปซ่อนตัวที่ลำธารเครีท   แล้วพระเจ้าทรงเลี้ยงเอลียาห์ด้วยอาหารที่กานำมาทุกเช้าเย็น   และต่อมาพระเจ้าให้หญิงหม้ายชาวศาเรฟัทเป็นคนเลี้ยงเอลียาห์จนกว่าจะผ่านพ้นวิกฤติการกันดารอาหาร (1พกษ. 17)

เมื่อผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ปรากฏตัวต่อหน้ากษัตริย์อาหับเพื่อท้าพิสูจน์ระหว่างพระเพระเยโฮวาห์ของอิสราเอล กับพระบาอัล ว่าใครที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้   สถานการณ์ในตอนนั้นประชาชนต่างคล้อยตามกษัตริย์อาหับไปกราบไหว้บูชาพระบาอัลกันหมด   และมองว่าที่ประเทศแห้งแล้ง ทุกข์ยาก กันดารอาหารก็เพราะผู้เผยพระวจนะเอลียาห์เป็นต้นเหตุ   เมื่อทำให้ประเทศชาติแห้งแล้งทุกข์ยากแล้วก็หนีหน้าไป   ดังนั้น  เมื่อกษัตริย์อาหับพบหน้าเอลียาห์อีกครั้งหนึ่งถึงกับชี้หน้าด่าเอลียาห์ว่า “เจ้านี่เองหรือ?   ที่ทำความลำบากให้อิสราเอล” (1พกษ.18:18)

จากการพิสูจน์ว่าพระเยโฮวาห์ หรือ พระบาอัลที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้   ปรากฏว่าพระบาอัลไม่สามารถส่งไฟให้ลงมาเผาไหม้เครื่องเผาบูชา   แต่พระเยโฮวาห์ทรงกระทำได้   ดังนั้น ประชาชนเห็นความจริงจากการพิสูจน์ครั้งนี้   ดังนั้น “...เมื่อ​ประ​ชา​ชน​ทั้ง​หมด​ได้​เห็น พวก​เขา​ก็​ซบ​หน้า​ลง​ร้อง​ว่า พระ​ยาห์​เวห์ พระ​องค์​ทรง​เป็น​พระ​เจ้า...” (1พกษ. 18:39)   ในที่สุด   ประชาชนก็ได้เห็นความจริง   ประชาชนซบหน้าลง  และยอมรับว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้า

เอลียาห์จัดการให้ประชาชนพาผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลทุกคนไปฆ่าเสีย (ข้อ 40)   การกระทำเช่นนี้สร้างความเจ็บแค้นอย่างยิ่งแก่พระนางเยเซเบลมเหสีของอาหับถึงกับส่งสาส์นจองล้างจองผลาญที่จะต้องฆ่าเอลียาห์ให้ได้ก่อนตะวันตกดินของวันพรุ่งนี้ (1พกษ. 19:1-2)   และนี่เป็นเหตุให้ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ต้องหนีเตลิดอีกครั้งหนึ่งเข้าไปหลบซ่อนตัวในถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 3)

คำถามว่าการฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลเป็นแผนการของพระเจ้าด้วยหรือไม่?  

เมื่อเอลียาห์หนีเข้าไปในแผ่นดินทุรกันดาร   เป็นโอกาสที่เอลียาห์จะเงียบสงบ   ในพระคัมภีร์บอกว่าเขาไปนั่งใต้ต้นซากซึ่งเป็นต้นไม้เพียงต้นเดียวในที่นั้น   แล้วเอลียาห์เปิดใจแบบตรงไปตรงมากับพระเจ้าไม่ซ่อนเร้นแม้แต่อารมณ์ที่ขุ่นมัวสิ้นหวังของตนเองว่า  “...พอ​กัน​ที ข้า​แต่​พระ​ยาห์​เวห์ บัด​นี้​ขอ​เอา​ชีวิต​ข้า​พระ​องค์​ไป​เสีย...” (ข้อ 4)   ไม่มีเสียงตอบ   ท่านเลยนอนลงใต้ต้นไม้นั้น   จนทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาปลุกเอลียาห์ให้ลุกขึ้นรับประทานอาหารที่ได้เตรียมมาให้   เมื่อรับประทานแล้วเอลียาห์นอนหลับต่ออีก   จนทูตสวรรค์มาปลุกอีกและบอกเอลียาห์ว่า ลุก​ขึ้น​รับ​ประ​ทาน​สิ มิ​ฉะ​นั้น​การ​เดิน​ทาง​จะ​เกิน​กำ​ลัง​ของ​ท่าน และ​ท่าน​ก็​ลุก​ขึ้น​รับ​ประ​ทาน​และ​ดื่ม และ​เดิน​ไป​ด้วย​กำ​ลัง​ของ​อา​หาร​นั้น สี่​สิบ​วัน​สี่​สิบ​คืน​ถึง​โฮ​เรบ​ภูเขา​ของ​พระ​เจ้า  (ข้อ 7-8)

เมื่อใครก็ตามเปิดใจร้องทูลต่อพระองค์อย่างจริงใจหมดเปลือก   แม้ว่าการตัดสินใจกระทำลงไปอาจจะผิดพลาดจากพระประสงค์ของพระเจ้า    แต่ในสถานการณ์ที่วิกฤตินั้นเองที่พระเจ้าทรงดำเนินการตามแผนการของพระองค์ใหม่

แม้ว่า การฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลจำนวนมากจะเป็นแผนการของพระเจ้าหรือไม่เราไม่ทราบ   จนทำให้เอลียาห์ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของพระนางเยเซเบล    และในถิ่นทุรกันดารที่เอลียาห์โพล่งออกมาอย่างหมดเปลือกต่อพระเจ้า    แต่พระเจ้าทรงรับฟัง   พระองค์ให้เวลาแก่เอลียาห์ที่จะสงบด้วยการพักผ่อนนอนหลับ   พระองค์เตรียมอาหารแก่เอลียาห์ที่จะรับประทานเพื่อมีแรงที่จะเดินตามแผนการใหม่ของพระองค์

ที่ภูเขาโฮเรบ   เอลียาห์ได้เรียนบทเรียนใหม่จากพระเจ้า   ที่บนภูเขานี้เขาจะได้พบกับพระองค์  ปรากฏว่า พระเจ้ามิได้สถิตในลมพายุที่รุนแรง   มิได้อยู่ในแผ่นดินไหวที่สร้างความน่าครั่นคร้าม   มิได้อยู่ในไฟที่ร้อนและเผาไหม้  แต่ปรากฏว่าพระองค์สถิตอยู่ในเสียงเบาๆ  

พระเจ้าถามใจของเอลียาห์ว่าตอนนี้ตั้งใจอย่างไร   น่าสังเกตว่า เอลียาห์ตอบด้วยความเข้าใจและมุมมองของตนเองว่า   ตนกระทำทั้งหมดนี้เพราะต้องการปกป้องประชาอิสราเอลที่หลงผิดไปจากพระเจ้า   และตอนนี้คนอิสราเอลก็ละทิ้งพระเจ้าไปหมดแล้ว (ดูข้อ 14)   แต่เราต้องไม่ลืมว่าคนอิสราเอลที่เห็นการพิสูจน์ที่ภูเขาคารเมลได้ซบหน้าลงถึงดินและรู้แล้วว่าพระเจ้าองค์เที่ยงแท้คือพระเยโฮวาห์ (ดู 18:39)

เอลียาห์มองอีกว่า  ตนเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเหลือเพียงคนเดียว (ข้อ 14)  แต่เราพบก่อนหน้านี้ว่า โอบาดีห์ ได้ซ่อนผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าไว้ในถ้ำ 100 คนและส่งอาหารและน้ำไปให้เป็นประจำ (18:13)  

เมื่อเอลียาห์พบพระเจ้าในเสียงที่ตรัสเบาๆ นั้น   พระองค์บอกเอลียาห์ว่ายังมีคนที่ยังสัตย์ซื่อต่อพระองค์ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้  พระเจ้าตรัสบอกเอลียาห์ว่า  “แต่​เรา​จะ​เหลือ 7,000 คน​ไว้​ใน​อิส​รา​เอล คือ​ทุก​คน​ที่​ไม่​ได้​คุก​เข่า​ลง​ต่อ​พระ​บา​อัล และ​ไม่​ได้​จูบ​พระ​นั้น” (19:18)

แล้วพระองค์บอกแผนการของพระองค์สำหรับเอลียาห์ที่จะต้องทำต่อไปคือ   กลับไปถิ่นทุรกันดารแล้วเจิมเยฮูให้เป็นกษัตริย์ และ เอลีชาให้เป็นผู้เผยพระวจนะต่อจากตน    และนี่เป็นแผนการของพระเจ้า  ที่ไม่ถูกสกัดกั้นหรือถูกทำลายเพราะการตัดสินใจผิด หรือ การลงมือทำผิดของคนของพระเจ้า

อย่าคิดว่า  เราเป็นเพียงคนเดียวที่สัตย์ซื่อที่สุดต่อพระเจ้า  

อย่าคิดว่าพระเจ้าเหลือเราเพียงคนเดียวที่พระองค์จะใช้ได้

อย่าคิดว่าไม่มีใครที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าอีกแล้ว

แต่พระเจ้าทรงกระทำตามแผนการของพระองค์   พระองค์ทรงใช้เราตามแผนการของพระองค์   มิใช่ใช้เราตามความสามารถ   ความนึกคิด  ตามมุมมองของเราเอง   และก็มิใช่ว่าไม่มีเราแล้วก็จะไม่มีใครจะรับใช้พระเจ้า   สิ่งที่เราจะต้องสำนึก  ตระหนัก  และแสวงหาเสมอคือ   ตอนนี้เรารับใช้ตามพระประสงค์ของพระเจ้า   หรือเรารับใช้ตามความปรารถนา  ตามความภาคภูมิใจของเราเอง   

เมื่อใดที่เราสำคัญตนผิดคิดว่าตนเองสำคัญที่สุด   เราจะได้เรียนรู้ว่า   ในแผนการของพระองค์ยังมีคนอื่นๆ ที่พระเจ้าทรงเตรียมและทรงใช้ได้ตามพระประสงค์ของพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น