อ่านเอเฟซัส 4:1-3
ขอวิงวอนพวกท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับการทรงเรียกมานั้น
(4:1 มตฐ.)
การทรงเรียก เรามักแปลจากภาษาอังกฤษคำว่า “calling” และคำว่า calling มีความหมายเหมือนกับ “profession”
หรือ “vocation” ซึ่งทั้งสองคำนี้หมายถึง งานอาชีพ หรือ หน้าที่การงาน ส่วนคำว่า “vocation”
รากศัพท์มาจากภาษาละตินคำว่า vocation ซึ่งหมายถึง calling หรือ
การทรงเรียก ส่วนใหญ่แล้วเรามักใช้คำว่า calling หมายถึงการสถาปนาคนให้เป็นนักบวช
เราหมายถึงศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาล
ที่คนกลุ่มนี้ได้รับการทรงเรียกให้ทำหน้าที่ในการทำงานพันธกิจด้านต่างๆ ในคริสตจักร และการทำงานเกี่ยวกับมิชชั่น
ในเอเฟซัสบทที่สี่ข้อแรก ได้ใช้คำว่าการทรงเรียกในความหมายที่ค่อนข้างแตกต่างจากที่กล่าวข้างต้น เมื่อเปาโลกระตุ้นวิงวอนให้เรา
“ดำเนินชีวิตสมค่ากับการทรงเรียกที่เราได้รับ”
เปาโลไม่ได้ระบุว่าเป็นการทรงเรียกในงานอาชีพทั่วไป หรือ
งานด้านพันธกิจคริสตจักร อันใดอันหนึ่ง
แต่แน่นอนว่าท่านหมายถึงการทรงเรียกถึงงานอาชีพทั้งสองด้าน แต่ท่านกล่าวชัดเจนถึงการทรงเรียกว่า การทรงเรียกเป็นสิ่งที่คริสตชนทุกคนและแต่ละคนได้รับจากพระเจ้า ทั้งเป็นการส่วนตัว และในฐานะสมาชิกคนหนึ่งในพระวรกายของพระคริสต์
ถ้าเช่นนั้น อะไรคือการทรงเรียกของเรา? ในตอนอื่นของพระธรรมเอเฟซัส เปาโลกล่าวถึงการทรงเรียกมีหมายถึง
ความหวังและมรดกของธรรมิกชนในอนาคต (เอเฟซัส 1:18 มตฐ.) ในข้อนี้เปาโลได้อธิษฐานว่า “...เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น
และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร...” จากนั้นใน 4:4
เปาโลกล่าวว่า “...ท่านได้รับการทรงเรียกให้มาถึงความหวังเดียวในการทรงเรียกพวกท่านนั้น” ดังนั้น การทรงเรียกที่เราได้รับเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคต
ที่เราจะมีชีวิตด้วยความมั่นใจและแน่นนอนมั่นคงในอนาคตที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้เพื่อเรา
ในเอเฟซัส 4:1 การทรงเรียกที่กล่าวถึงในข้อนี้รวมถึงอนาคตของเราด้วย
รวมไปถึงทุกสิ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและตัวของเราเองใน 3 บทแรกของเอเฟซัส ถ้าเราจำได้ใน 1:10
คือการที่พระเจ้าทรงรวบรวมทุกสิ่งในสวรรค์และในแผ่นดินโลก (จักรวาล)
ให้อยู่ภายใต้พระคริสต์(ในพระคริสต์)
และพระประสงค์สูงสุดในการทรงเรียกคือ “...พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก
เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์” (1:4 มตฐ.)
พระราชกิจนี้มุ่งเน้นไปที่พระเยซูคริสต์
ซึ่งเป็นการแสดงถึง “พระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (1:6 มตฐ.)
ที่ทรงกระทำให้เราได้รับความรอด (2:8 มตฐ.) ยิ่งกว่านั้น
เมื่อเรามีประสบการณ์ถึงความรอดโดยความเชื่อ เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ในพระคริสต์เพื่อให้ทำการดี
“...ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม”
(2:10 มตฐ.)
เรากระทำงานนี้มิใช่ในฐานะผู้เชื่อส่วนตัว
แต่ที่สำคัญในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า และกำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ
(2:19-22)
ดังนั้น ความหวังในอนาคตที่พระเจ้าทรงรวบรวม และ
พลิกฟื้นสร้างใหม่ทุกสิ่งทำให้เราเห็นชัดเจนถึงการทรงเรียก
มิใช่เพื่อให้เราได้แรงบันดาลใจนิมิตในอนาคตเท่านั้น แต่เป็นการที่พระเจ้าทรงเรียกเราให้ดำเนินชีวิตตามด้วย
ด้วยพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเราจึงได้มีส่วนร่วมในพระราชกิจในการกอบกู้ไถ่ถอนจักรวาลนี้ร่วมกับพระองค์ เราแต่ละคน
ถ้าเราวางใจในพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้ร่วมในพระราชกิจแห่งการปลดปล่อย การไถ่ถอน
และพลิกฟื้นสร้างใหม่ของพระองค์
เพื่อเราจะดำเนินชีวิต “สมค่าแห่งการทรงเรียก”
ตามการทรงเรียกด้วยพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์
ในวันนี้เราคงต้องถามตนเองว่า...
1. ท่านคิดและรู้สึกว่าพระเจ้าทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในพระราชกิจแห่งการปลดปล่อยและไถ่ถอนของพระองค์หรือไม่?
ทำไมท่านถึงคิดและรู้สึกเช่นนั้นในชีวิตของท่าน?
2. อะไรที่ช่วยให้ท่านเห็นชีวิตของท่านเป็นเช่นนั้น?
3. ท่านได้ตอบสนองต่อการทรงเรียกในชีวิตของท่านแล้วหรือยัง? อย่างไร?
4. ถ้าท่านจะเอาจริงเอาจังกับการทรงเรียกนี้ของพระเจ้า ท่านคิดว่าชีวิตของท่านอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น