อ่านเอเฟซัส 4:1-3
เพราะฉะนั้น
ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษโดยเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอวิงวอนพวกท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับการทรงเรียกมานั้น
(4:1 มตฐ.)
ในฐานะที่เคยเป็นศิษยาภิบาล คงไม่มีใครสะดุ้งถ้าผมจะบอกว่า
พระเจ้าทรงเรียกผมมาทำงานอย่างที่ผมทำในปัจจุบัน
งานวิจัยคริสตจักรและชุมชน งานหนุนเสริมพัฒนาประสิทธิภาพบุคลากรที่ทำงานพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน ใช่ครับ
เราส่วนใหญ่คุ้นชินกับการทรงเรียกให้เป็นนักบวช หรือ ศาสนาจารย์ ศิษยาภิบาลที่ทำงานในคริสตจักร แล้วเราจะกล่าวชัดๆ ว่า อาชีพการเป็นครู การเป็นแพทย์
พยาบาล ผู้บริหาร ภารโรง
คนทำสวน ช่างไม้ ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เกษตรกร
แม่บ้าน แม่ที่เลี้ยงลูกน้อย ทนายความ
แม่ค้าชำแหละเนื้อสัตว์ในตลาด พ่อค้าแม่ขาย และอีกมากมาย
อาชีพการงานเหล่านี้เป็นการทรงเรียกของพระเจ้าหรือไม่?
แล้วคนที่อาสาสมัครที่ให้เวลาในการเอาใจใส่คนยากคนจน คนขัดสนล่ะ?
ที่เขาทำงานเหล่านั้นได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?
หรือการงานอาชีพเหล่านี้แตกต่างไปจากการเป็นศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์
หรือนักบวช?
เอเฟซัส
4:1 ชี้ชัดว่า เราแต่ละคนได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ให้เราดำเนินชีวิตประจำวัน
“ให้สมค่ากับการทรงเรียก”
ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้เราเป็นของพระคริสต์ และ
ร่วมในพระราชกิจแห่งการพลิกฟื้นโลกนี้ขึ้นใหม่
ในเมื่ออาชีพการงานของเราเป็นศูนย์กลางในการดำเนินชีวิตของเรา
และแน่นอนครับการที่เราจะตอบสนองอย่างไรต่อการทรงเรียกในอาชีพการงานที่เรารับผิดชอบเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง และงานอาชีพที่เราทำต้องสอดคล้องและตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์ แต่ถามตรงๆ เถิด แล้วการทรงเรียกและอาชีพการงานของเรามันเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไร?
ในประเด็นเกี่ยวกับงานและการทรงเรียกเราเห็นว่า...
1. ทุกคนได้รับการทรงเรียกให้เป็นคนของพระคริสต์ และร่วมในพระราชกิจแห่งการเสริมสร้าง แห่งการกอบกู้
และการพลิกฟื้นสร้างใหม่ของพระเจ้า
2. ทุกคนได้รับพระบัญชาให้ทำงานเต็มความสามารถที่ตนมีอยู่
3. พระเจ้าทรงเรียกทั้งชีวิตของเรา
มิใช่เรียกเราเพียงเรื่องหน้าที่การงานที่เราทำเท่านั้น หรือ
ทรงเรียกเราให้เป็นคริสตชนไปนมัสการพระองค์ในวันอาทิตย์เท่านั้น
จากประเด็นทั้งสามเรื่องการทรงเรียกกับงานอาชีพของเราข้างต้นเราพอประมวลสรุปได้ว่า อาชีพการงานของเราคงมิใช่สิ่งที่พระเจ้าให้ความสนพระทัยสูงสุดในชีวิตของเรา
แต่พระเจ้าทรงสนพระทัยที่ชีวิตของเราได้รับการกอบกู้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้ร่มพระคุณแห่งความรอดของพระคริสต์ ให้เราเป็นคนของพระองค์ แล้วร่วมในพระราชกิจแห่งการเสริมสร้าง การช่วยกู้
และการพลิกฟื้นสร้างใหม่ของพระองค์
จากนั้น พระเจ้าทรงใส่ใจเราในอาชีพการงานที่เรารับผิดชอบอยู่ด้วย
ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ามิได้เอาใจใส่ต่องานอาชีพที่เรารับผิดชอบ
ความจริงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทรงนำและเสริมหนุนเพิ่มพลังคริสตชนทุกคนทั้งในชีวิตและการงานภายใต้การทรงนำของพระเจ้า
การทำงานในในชีวิตประจำวันเป็นการทรงเรียกของพระเจ้าด้วยหรือไม่?
แท้จริงแล้วการประกอบกิจการงานในแต่ละวันเป็นการตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้า การงานมิใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทรงเรียกของพระเจ้า แต่โดยการทำงานของเรา
เราได้ตอบสนองต่อการทรงเรียกที่สำคัญสุดของพระเจ้าด้วยการ
“เป็นคนของพระคริสต์และร่วมในพระราชกิจในการเสริมสร้าง การกอบกู้
และการสร้างใหม่ของพระองค์”
ผ่านกิจการงานอาชีพที่เราทำและรับผิดชอบ
ทั้งนี้ไม่สำคัญว่างานของเราเป็นงานชนิดใด ไม่ว่าเราจะมีอาชีพครู แพทย์
พยาบาล แม่บ้าน คนรักษาความสะอาด นักฟุตบอล
หรือโค้ช
ในงานที่เราทำเราสามารถตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเราทั้งสิ้น
ประเด็นใคร่ครวญประจำวันนี้คือ...
1. ท่านเข้าใจอย่างไรถึงความสัมพันธ์ระหว่างงานอาชีพที่ท่านทำกับการทรงเรียกของพระเจ้า?
2. ถ้าท่านเข้าใจว่า พระเจ้าทรงเรียกท่านให้
“เป็นคนของพระคริสต์และร่วมในพระราชกิจแห่งการเสริมสร้าง การช่วยกู้
และการพลิกฟื้นสร้างใหม่ของพระเจ้า”
ผ่านอาชีพการงานที่ท่านรับผิดชอบ
ท่านคิดว่าการทำงานอาชีพในประจำวันของท่านจะเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างจากที่ทำมาหรือไม่ อย่างไร?
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น