อ่าน มาระโก 8:27-33
29 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า “แล้วพวกท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร?”
เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์” (ข้อ 29 มตฐ)
หลังจากที่สาวกติดตามพระองค์ ฟังคำสอนของพระองค์ และเห็นถึงพระราชกิจที่พระองค์กระทำ ในระหว่างการเดินทางไปแขวงซีซารียา ฟีลิปปี พระเยซูตั้งกระทู้ถามสาวกว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?” สาวกตอบพระเยซูว่า คนทั้งหลายคิดและเชื่อว่า พระองค์เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา แต่บางคนก็เข้าใจว่าเป็นเอลียาห์ บางคนก็คิดว่าพระองค์เป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ
(ข้อ 28)
ภาพรวมความเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครในสายตาของประชาชนคือ
เป็นคนสำคัญและยิ่งใหญ่ในอดีตที่กลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง น่าสังเกตว่าพระเยซูคริสต์มิได้ตอบว่าเป็นความคิด
ความเข้าใจ หรือ ความเชื่อที่ถูกหรือผิด
แต่พระองค์กระชับวงแคบเข้ามาว่า “แล้วพวกท่านล่ะ คิดว่าเราเป็นใคร?” เปโตรซึ่งเป็นสาวกปากไวใจถึง ตอบสวนทันควันว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์”
พระองค์มิได้บอกสาวกว่าคำตอบของเปโตรถูกหรือผิด แต่พระองค์กลับสั่งพวกสาวกว่า ไม่ให้บอกใครถึงเรื่องของพระองค์ (ข้อ 29)
ทำไม
พระเยซูไม่ตอบสนองว่าคำตอบของคนทั้งหลาย และ
คำตอบของเปโตรว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร?
ทำไม
หลังจากเปโตรตอบว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ แล้วพระเยซูจึงสั่งสาวกว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร? นี่แสดงว่า คำตอบนี้ถูกต้องเป็นความจริงใช่ไหม พระองค์ถึงมิให้บอกแก่คนทั้งหลาย?
แต่ถ้าเป็นความจริงทำไมพระเยซูคริสต์ถึงสั่งไม่ให้บอกคนอื่น? พระองค์กลัวพวกผู้นำศาสนายิว และ
พวกโรมันมาจับมาทำร้ายพระองค์หรือ?
สำหรับคริสตชนเราในปัจจุบัน เมื่ออ่านพระคัมภีร์ตอนนี้เราเข้าใจว่า คำตอบของเปโตรถูกต้อง!
เพราะพระเมสสิยาห์
หรือ พระคริสต์ ที่เราเรียกพระเยซูติดปากว่า
“พระเยซูคริสต์”
ตามความเข้าใจของเราคือ
บทบาทของพระเมสสิยาห์ หรือ
พระคริสต์คือผู้ที่มายอมสิ้นชีวิตบนกางเขนเพื่อกอบกู้ช่วยให้เรารอดพ้นจากอำนาจความบาปชั่ว และเรายังคิดอีกว่า เพราะพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์พระองค์มีสภาพความเป็นพระเจ้าในตัวของพระองค์
แต่เมื่อเปโตรกล่าวว่า พระเยซูเป็น “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์”
ที่คนในยุคนั้นใช้กันเขาไม่มีความเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจตามข้างต้น
และเปโตรก็ไม่ได้เข้าใจคำว่าพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์อย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันนี้ แต่พวกเขาเข้าใจว่า
พระเมสสิยาห์หมายถึงผู้ที่ได้รับการทรงเจิมจากพระเจ้า
เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกและเจิมเพื่อที่จะมากอบกู้อิสราเอลที่ตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ภายใต้การครอบงำของโรมัน และเพื่อสถาปนาอาณาจักอิสราเอลใหม่
พูดง่ายๆ
ภาษาทุกวันนี้คือ
พระคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อกอบกู้ทางการเมืองและการปกครองของอิสราเอล!
พวกสาวกและประชาชนอิสราเอลในตอนนั้นมิได้มีมุมมอง เข้าใจ
และเชื่อว่า
พระคริสต์ที่เขาพูดถึงนี้มีสภาพความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของ “พระคริสต์”
หรือ “พระเมสสิยาห์” ที่เขาพูดถึง
ด้วยเหตุนี้ ในพระธรรมที่ต่อจากนี้คือในมาระโก 8:31-33 พระเยซูจึง สร้างความเข้าใจใหม่ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์สอนเรื่องนี้อย่างเปิดเผยว่า “บุตรมนุษย์”
(ซึ่งพระองค์หมายถึงพระองค์เองว่า) จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่
พวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์จะถูกประหารชีวิต และหลังจากนั้นสามวันจะเป็นขึ้นใหม่ (ข้อ 31)
ประการแรก พระเยซูคริสต์สอนว่าพระองค์เป็นใครแก่สาวก พระองค์เป็น “บุตรมนุษย์” คำว่าบุตรมนุษย์มาจากดานิเอล 7:13 บุตรมนุษย์ในดานิเอลหมายถึงผู้ที่มาจากสวรรค์
เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจและเดชานุภาพในเวลาสิ้นยุค คำว่า “บุตรมนุษย์”
ที่พระเยซูคริสต์ใช้เป็นการอ้างว่า
พระเยซูเป็นตัวแทนจากพระเจ้าที่พระเจ้า เจิม แต่งตั้ง และรับรอง
ประการที่สอง พระองค์กล่าวถึงความเป็นพระคริสต์
หรือ พระเมสสิยาห์ ในความหมายที่แตกต่างจากความเข้าใจของสาวกและประชาชน เพราะภาพลักษณ์ในจินตนาการของสาวกและประชาชน พระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์คือมีลักษณะเป็น “ฮีโร่”
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่
ผู้ทรงอำนาจ
เป็นผู้มีชัยในสนามรบ
เป็นผู้ชนะเหนือศัตรูคือโรมัน แต่พระเยซูคริสต์กลับสอนสาวกว่า “บุตรมนุษย์” จะต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกพวกผู้นำศาสนายิวเองต่อต้าน และในที่สุดจะถูกประหารชีวิต
ประการที่สาม หลังจากที่ถูกฆ่าตายแล้ววันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นใหม่ ถึงแม้สาวกได้เห็นแล้วว่า พระองค์ทำให้คนตายเป็นขึ้นใหม่ได้ แต่พวกเขามองไม่ออก คิดไม่ถึง
ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร
เพ้อฝันหรือไม่?
เปโตรรับไม่ได้กับคำสอนใหม่เช่นนี้ของพระเยซูคริสต์ เป็นคำสอนที่สวนทางกับมุมมอง ความคิด
ความเข้าใจ และความเชื่อของพวกเขา เปโตรอดรนทนไม่ได้ถึงกับขอเวลานอกพาพระเยซูไปพูดเป็นการส่วนตัวต่างหากกับพระเยซูสองต่อสองเพื่อ
“ทักท้วง” ตำหนิ (ข้อ 32) ความเชื่อที่พระองค์สอน เพราะความคิดความเชื่อที่ว่า พระเมสสิยาห์จะต้องทนทุกทรมาน และต้องตาย (แพ้) เป็นคำสอน ความคิดที่ไม่มีในความคาดหวังของชาวยิวเลย ด้วยความรักและหวังดีของเปโตรต่อพระเยซูคริสต์ จึงพาพระองค์ออกมาต่างหากเพื่อที่จะพยายามช่วยให้พระเยซูคริสต์
“กลับเข้าร่องเข้ารอย” ในความเชื่อของยิวที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้พระเยซูคริสต์เสียหน้า และเพี้ยนไปกว่านี้
แต่พระเยซูคริสต์รู้เท่าทันความคิด ความตั้งใจ และวิธีการของเปโตร พระองค์กระตุกจิตสำนึกของเปโตร ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า เปโตรท่านมีมุมมอง ความคิด ความเข้าใจตามกระแสของมนุษย์ แต่มุมมอง
ความคิดความเข้าใจที่ท่านว่านั้นมิได้มองและคิดอย่างพระเจ้า แต่มารหรืออำนาจชั่วแฝงเข้ามาครอบงำความคิดของท่าน(ข้อ
33) ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงต้องขับอำนาจชั่วตามกระแสสังคมในตอนนั้นให้ออกจากเปโตร
(ข้อ 33)
ใช่ครับ...ถูกของพระเยซู... บ่อยครั้งเหลือเกินที่เรามองชีวิต และ
เข้าใจพระเจ้าตามกระแสความเข้าใจของมนุษย์ที่อำนาจชั่วครอบงำ แต่เราหลงลืมไปว่า เราควรที่จะมอง คิด และเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้า ตามที่พระองค์ต้องการให้เราเห็น เข้าใจ และเชื่อไว้วางใจ
มิใช่เปโตรเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ตัวเราเองด้วยครับ!
สำหรับเปโตรแล้ว น่าเห็นใจครับ คงสับสนสนในความคิดความเชื่อน่าดูทีเดียว
แม้จะผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งเมื่อเขาพบและมีประสบการณ์กับพระคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายแล้วต่างหากที่มุมมอง ความคิด
ความเชื่อ และความเข้าใจของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง
วันนี้เราทูลขอว่า ในการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงานต่างๆ ของเรา ได้รับการทรงสำแดงและเปิดโอกาสให้เราได้พบและมีประสบการณ์กับพระคริสต์ผู้เป็นขึ้นจากความตาย
เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่ ให้เรามอง เราคิด เราเชื่อตามพระประสงค์ ตามแนวคิดของพระเจ้า
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น