09 กันยายน 2556

เมื่อความเชื่อสับสน!

อ่าน มาระโก 8:27-33

29 พระ​องค์​จึง​ตรัส​ถาม​เขา​ว่า แล้ว​พวก​ท่าน​ล่ะ​คิด​ว่า​เรา​เป็น​ใคร?”
เป​โตร​ทูล​ตอบ​ว่า พระ​องค์​เป็น​พระ​คริสต์(ข้อ 29 มตฐ)

หลังจากที่สาวกติดตามพระองค์  ฟังคำสอนของพระองค์  และเห็นถึงพระราชกิจที่พระองค์กระทำ   ในระหว่างการเดินทางไปแขวงซีซารียา ฟีลิปปี   พระเยซูตั้งกระทู้ถามสาวกว่า  “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นใคร?”   สาวกตอบพระเยซูว่า   คนทั้งหลายคิดและเชื่อว่า  พระองค์เป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมา  แต่บางคนก็เข้าใจว่าเป็นเอลียาห์  บางคนก็คิดว่าพระองค์เป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ (ข้อ 28)  ภาพรวมความเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์เป็นใครในสายตาของประชาชนคือ   เป็นคนสำคัญและยิ่งใหญ่ในอดีตที่กลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง   น่าสังเกตว่าพระเยซูคริสต์มิได้ตอบว่าเป็นความคิด ความเข้าใจ หรือ ความเชื่อที่ถูกหรือผิด

แต่พระองค์กระชับวงแคบเข้ามาว่า  “แล้วพวกท่านล่ะ คิดว่าเราเป็นใคร?”  เปโตรซึ่งเป็นสาวกปากไวใจถึง  ตอบสวนทันควันว่า  “พระองค์เป็นพระคริสต์”   พระองค์มิได้บอกสาวกว่าคำตอบของเปโตรถูกหรือผิด   แต่พระองค์กลับสั่งพวกสาวกว่า  ไม่ให้บอกใครถึงเรื่องของพระองค์ (ข้อ 29)

ทำไม พระเยซูไม่ตอบสนองว่าคำตอบของคนทั้งหลาย และ คำตอบของเปโตรว่าถูกต้องหรือไม่อย่างไร?

ทำไม หลังจากเปโตรตอบว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ แล้วพระเยซูจึงสั่งสาวกว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้แก่ใคร?   นี่แสดงว่า คำตอบนี้ถูกต้องเป็นความจริงใช่ไหม  พระองค์ถึงมิให้บอกแก่คนทั้งหลาย?   แต่ถ้าเป็นความจริงทำไมพระเยซูคริสต์ถึงสั่งไม่ให้บอกคนอื่น?   พระองค์กลัวพวกผู้นำศาสนายิว และ พวกโรมันมาจับมาทำร้ายพระองค์หรือ?

สำหรับคริสตชนเราในปัจจุบัน  เมื่ออ่านพระคัมภีร์ตอนนี้เราเข้าใจว่า   คำตอบของเปโตรถูกต้อง!

เพราะพระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์   ที่เราเรียกพระเยซูติดปากว่า “พระเยซูคริสต์”   ตามความเข้าใจของเราคือ  บทบาทของพระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์คือผู้ที่มายอมสิ้นชีวิตบนกางเขนเพื่อกอบกู้ช่วยให้เรารอดพ้นจากอำนาจความบาปชั่ว   และเรายังคิดอีกว่า เพราะพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์พระองค์มีสภาพความเป็นพระเจ้าในตัวของพระองค์

แต่เมื่อเปโตรกล่าวว่า  พระเยซูเป็น “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์” ที่คนในยุคนั้นใช้กันเขาไม่มีความเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจตามข้างต้น   และเปโตรก็ไม่ได้เข้าใจคำว่าพระคริสต์หรือพระเมสสิยาห์อย่างที่เราเข้าใจในปัจจุบันนี้   แต่พวกเขาเข้าใจว่า  พระเมสสิยาห์หมายถึงผู้ที่ได้รับการทรงเจิมจากพระเจ้า   เป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกและเจิมเพื่อที่จะมากอบกู้อิสราเอลที่ตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ภายใต้การครอบงำของโรมัน  และเพื่อสถาปนาอาณาจักอิสราเอลใหม่  

พูดง่ายๆ ภาษาทุกวันนี้คือ  พระคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อกอบกู้ทางการเมืองและการปกครองของอิสราเอล!

พวกสาวกและประชาชนอิสราเอลในตอนนั้นมิได้มีมุมมอง  เข้าใจ  และเชื่อว่า   พระคริสต์ที่เขาพูดถึงนี้มีสภาพความเป็นพระเจ้าอยู่ในตัวของ “พระคริสต์” หรือ “พระเมสสิยาห์” ที่เขาพูดถึง

ด้วยเหตุนี้  ในพระธรรมที่ต่อจากนี้คือในมาระโก 8:31-33   พระเยซูจึง  สร้างความเข้าใจใหม่ว่าพระองค์เป็นใคร   พระองค์สอนเรื่องนี้อย่างเปิดเผยว่า  “บุตรมนุษย์” (ซึ่งพระองค์หมายถึงพระองค์เองว่า) จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ   พวกผู้ใหญ่  พวกหัวหน้าปุโรหิต  และพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์   พระองค์จะถูกประหารชีวิต  และหลังจากนั้นสามวันจะเป็นขึ้นใหม่ (ข้อ 31)

ประการแรก   พระเยซูคริสต์สอนว่าพระองค์เป็นใครแก่สาวก   พระองค์เป็น “บุตรมนุษย์”  คำว่าบุตรมนุษย์มาจากดานิเอล 7:13 บุตรมนุษย์ในดานิเอลหมายถึงผู้ที่มาจากสวรรค์  เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจและเดชานุภาพในเวลาสิ้นยุค   คำว่า “บุตรมนุษย์” ที่พระเยซูคริสต์ใช้เป็นการอ้างว่า  พระเยซูเป็นตัวแทนจากพระเจ้าที่พระเจ้า เจิม แต่งตั้ง และรับรอง

ประการที่สอง  พระองค์กล่าวถึงความเป็นพระคริสต์ หรือ พระเมสสิยาห์ ในความหมายที่แตกต่างจากความเข้าใจของสาวกและประชาชน   เพราะภาพลักษณ์ในจินตนาการของสาวกและประชาชน   พระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์คือมีลักษณะเป็น  “ฮีโร่”  ผู้นำที่ยิ่งใหญ่   ผู้ทรงอำนาจ  เป็นผู้มีชัยในสนามรบ   เป็นผู้ชนะเหนือศัตรูคือโรมัน   แต่พระเยซูคริสต์กลับสอนสาวกว่า  “บุตรมนุษย์” จะต้องทนทุกข์ทรมาน   ถูกพวกผู้นำศาสนายิวเองต่อต้าน   และในที่สุดจะถูกประหารชีวิต

ประการที่สาม   หลังจากที่ถูกฆ่าตายแล้ววันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นใหม่   ถึงแม้สาวกได้เห็นแล้วว่า  พระองค์ทำให้คนตายเป็นขึ้นใหม่ได้   แต่พวกเขามองไม่ออก  คิดไม่ถึง ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นไปได้อย่างไร   เพ้อฝันหรือไม่?

เปโตรรับไม่ได้กับคำสอนใหม่เช่นนี้ของพระเยซูคริสต์   เป็นคำสอนที่สวนทางกับมุมมอง ความคิด ความเข้าใจ  และความเชื่อของพวกเขา   เปโตรอดรนทนไม่ได้ถึงกับขอเวลานอกพาพระเยซูไปพูดเป็นการส่วนตัวต่างหากกับพระเยซูสองต่อสองเพื่อ “ทักท้วง” ตำหนิ (ข้อ 32) ความเชื่อที่พระองค์สอน   เพราะความคิดความเชื่อที่ว่า พระเมสสิยาห์จะต้องทนทุกทรมาน  และต้องตาย (แพ้)   เป็นคำสอน ความคิดที่ไม่มีในความคาดหวังของชาวยิวเลย   ด้วยความรักและหวังดีของเปโตรต่อพระเยซูคริสต์   จึงพาพระองค์ออกมาต่างหากเพื่อที่จะพยายามช่วยให้พระเยซูคริสต์ “กลับเข้าร่องเข้ารอย” ในความเชื่อของยิวที่ถูกต้อง   เพื่อไม่ให้พระเยซูคริสต์เสียหน้า  และเพี้ยนไปกว่านี้

แต่พระเยซูคริสต์รู้เท่าทันความคิด  ความตั้งใจ และวิธีการของเปโตร   พระองค์กระตุกจิตสำนึกของเปโตร ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า  เปโตรท่านมีมุมมอง ความคิด  ความเข้าใจตามกระแสของมนุษย์   แต่มุมมอง ความคิดความเข้าใจที่ท่านว่านั้นมิได้มองและคิดอย่างพระเจ้า แต่มารหรืออำนาจชั่วแฝงเข้ามาครอบงำความคิดของท่าน(ข้อ 33)   ดังนั้น  พระเยซูคริสต์จึงต้องขับอำนาจชั่วตามกระแสสังคมในตอนนั้นให้ออกจากเปโตร (ข้อ 33)

ใช่ครับ...ถูกของพระเยซู...  บ่อยครั้งเหลือเกินที่เรามองชีวิต และ เข้าใจพระเจ้าตามกระแสความเข้าใจของมนุษย์ที่อำนาจชั่วครอบงำ   แต่เราหลงลืมไปว่า   เราควรที่จะมอง คิด และเชื่อตามพระประสงค์ของพระเจ้า   ตามที่พระองค์ต้องการให้เราเห็น เข้าใจ  และเชื่อไว้วางใจ    

มิใช่เปโตรเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้  ตัวเราเองด้วยครับ!

สำหรับเปโตรแล้ว   น่าเห็นใจครับ   คงสับสนสนในความคิดความเชื่อน่าดูทีเดียว   แม้จะผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้วก็ยังไม่เข้าใจ   จนกระทั่งเมื่อเขาพบและมีประสบการณ์กับพระคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายแล้วต่างหากที่มุมมอง  ความคิด  ความเชื่อ และความเข้าใจของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลง

วันนี้เราทูลขอว่า   ในการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจการงานต่างๆ ของเรา   ได้รับการทรงสำแดงและเปิดโอกาสให้เราได้พบและมีประสบการณ์กับพระคริสต์ผู้เป็นขึ้นจากความตาย   เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและสร้างใหม่   ให้เรามอง เราคิด เราเชื่อตามพระประสงค์  ตามแนวคิดของพระเจ้า

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น