17 มีนาคม 2557

รับมือและจัดการกับความโกรธอย่างไร?

26จะ​โกรธ​ก็​โกรธ​ได้ แต่​อย่า​ทำ​บาป
อย่า​ให้​ถึง​ตะวัน​ตก​แล้ว​ยัง​โกรธ​อยู่
27 อย่า​ให้​โอกาสแก่​มาร...”   (เอเฟซัส 4:26-27)

พระธรรมตอนข้างต้นนี้บอกกับเราว่า   อย่าให้ความโกรธที่เกิดแก่เราฝังแน่นเกาะกุมในก้นบึ้งแห่งจิตใจของเรา   เปาโลกล่าวว่า  “อย่าให้ตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่”   นี่เป็นการกล่าวเปรียบเทียบ   ผู้เขียนคงไม่มีเจตนาให้เราตีความคำกล่าวนี้ตามตัวอักษร   แต่หมายความว่าอย่าให้ความโกรธฝังตัวและมีอิทธิพลในจิตใจความคิดความรู้สึกของเราเป็นเดือนเป็นปี   ซึ่งการปล่อยเช่นนั้นเป็นการเปิดโอกาสแก่มาร   ที่จะหลอกล่อให้เราตกกับดักความโกรธแล้วทำบาป

การที่เราจะปลดปล่อยตนเองจากความโกรธมี 3 แนวทางที่เราสามารถเลือกทำได้

ประการแรก   หาทางไปเคลียร์กับคนที่ทำให้เราโกรธ   การไปพูดไปเคลียร์เมื่อเรายังรู้สึกโกรธ   เรามีแนวโน้มที่จะตอบโต้คนที่ทำให้เราโกรธได้เจ็บปวดบ้าง   อีกทั้งอารมณ์ความรู้สึกของเรายังร้อนคุกรุ่นอยู่   โอกาสที่เราจะทำบาปก็มีแนวโน้มสูง   และในเวลาเดียวกันเราไม่รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของคู่กรณีของเราเป็นอย่างไร   พร้อมรับการที่เราจะเข้าไปเผชิญหน้าหรือไม่   กล่าวโดยภาพรวมวิธีการนี้มีความเสี่ยงที่จะให้เกิดการบาดหมางกันง่าย   และอาจจะสร้างบาดแผลแก่กันและกันที่บาดลึกลงไปมากกว่าเดิมก็ได้

ประการที่สอง   เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดความโกรธ   ให้เราระบายความรู้สึกโกรธ  ความรู้สึกไม่พอใจ  ความรู้สึกเจ็บปวดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับฟังเรา  ยิ่งกว่านั้นการระบายกับพระเจ้าด้วยความจริงใจเป็นการระบายที่ปลอดภัย   เราจึงไม่ต้องกลัวอะไร   พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา   พระปัญญาของพระองค์จะทรงให้การปรึกษาแก่ชีวิตจิตใจของเรา   และพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณพร้อมให้การเยียวยารักษาบาดแผลที่เราได้รับ   แล้วเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นความเข้าใจในคุณค่าของชีวิตของทั้งตนเองและคู่กรณี

ประการที่สาม   การรับมือกับความโกรธในฐานะที่เราเป็นคริสตชน   เราเป็นอวัยวะหนึ่งในพระกายของพระคริสต์   การที่เราโกรธมิใช่เรื่องระหว่างเรากับคู่กรณีของเราเท่านั้น   แต่การที่เราโกรธอาจสร้างผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ในพระกายของพระคริสต์   ดังเปาโลกล่าวก่อนหน้านี้ในข้อที่ 25 ว่า  “...ให้​พวก​ท่าน​แต่​ละ​คน​พูด​ความ​จริง​กับ​เพื่อน​บ้าน​ของ​ตนเพราะ​เรา​ต่าง​เป็น​อวัยวะ​ของ​กัน​และ​กันจะ​โกรธ​ก็​โกรธ​ได้ แต่​อย่า​ทำ​บาป  อย่า​ให้​ถึง​ตะวัน​ตก​แล้ว​ยัง​โกรธ​อยู่ อย่า​ให้​โอกาส​แก่​มาร...”   (ข้อ 25-27)

เปาโลแนะนำเราว่า   เมื่อเราโกรธเราอาจจะหาบางคนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อ   ที่เราสามารถไว้วางใจได้   แล้วพูดความจริงในเรื่องที่เราโกรธ ที่เกิดขึ้นในตัวเราให้เขาฟัง   การที่เพื่อนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อได้ฟังเราอย่างใส่ใจ   เป็นทางหนึ่งที่เราสามารถระบายความโกรธที่อัดแน่นในจิตใจของเราออกมา   นอกจากนั้นแล้วการที่เขาฟังเราอย่างใส่ใจยังจะช่วยให้อารมณ์และความรู้สึกโกรธของเราเย็นสงบลง   และเขายังจะให้มุมมองที่เหมาะสมแก่เราในเรื่องที่เรากำลังโกรธ   แล้วยังสามารถช่วยให้เราตัดสินใจเลือกแนวทางที่ดีที่สุดในการสร้างการคืนดีกับคู่กรณีของเรา

ดังนั้น   เมื่อเราโกรธ  อย่าซุกซ่อนความโกรธไว้ในจิตใจ  อารมณ์  และความรู้สึกของเราให้คุกรุ่นรังแต่จะเพิ่มความร้อนแรงขึ้น   ในเวลาเดียวกันก็อย่ารีบด่วนไปเผชิญหน้ากับคู่กรณี   เพราะการทำเช่นนั้นย่อมมีหลุมพรางมากมายที่จะทำให้เราทำบาปแน่   แต่ให้เราเปิดใจเปิดความรู้สึกของเราทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความจริงใจ   แล้วหาทางปรึกษาเรื่องที่เรากำลังโกรธกับพี่น้องคริสตชนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อที่เราไว้วางใจ   เพื่อเราจะไม่ตกหลุมพรางของความโกรธที่ทำให้เราต้องทำบาป    แต่เราจะค้นพบแนวทางที่เราจะกลับไปสร้างการคืนดีกับคู่กรณี

ใช่ครับ   วันนี้จะโกรธก็โกรธได้   แต่ให้เราจัดการความโกรธบนรากฐานความเชื่อของคริสตชน   ที่จะนำมาซึ่งการเสริมสร้างการคืนดีกันและกัน   และต้องไม่ลืมว่า   ความโกรธใช่เป็นเรื่องของเรากับคู่กรณีเท่านั้น   แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในชุมชนคริสตจักร   และ เมื่อโกรธต้องตระหนักรู้ว่า   พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความร่มเย็นที่จะให้ความสงบและสันติสุขเมื่อเรากำลังเร่าร้อนด้วยความโกรธ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น