26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป”
อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่
27 อย่าให้โอกาสแก่มาร...” (เอเฟซัส 4:26-27)
พระธรรมตอนข้างต้นนี้บอกกับเราว่า อย่าให้ความโกรธที่เกิดแก่เราฝังแน่นเกาะกุมในก้นบึ้งแห่งจิตใจของเรา เปาโลกล่าวว่า “อย่าให้ตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่” นี่เป็นการกล่าวเปรียบเทียบ
ผู้เขียนคงไม่มีเจตนาให้เราตีความคำกล่าวนี้ตามตัวอักษร แต่หมายความว่าอย่าให้ความโกรธฝังตัวและมีอิทธิพลในจิตใจความคิดความรู้สึกของเราเป็นเดือนเป็นปี
ซึ่งการปล่อยเช่นนั้นเป็นการเปิดโอกาสแก่มาร ที่จะหลอกล่อให้เราตกกับดักความโกรธแล้วทำบาป
การที่เราจะปลดปล่อยตนเองจากความโกรธมี
3 แนวทางที่เราสามารถเลือกทำได้
ประการแรก หาทางไปเคลียร์กับคนที่ทำให้เราโกรธ การไปพูดไปเคลียร์เมื่อเรายังรู้สึกโกรธ เรามีแนวโน้มที่จะตอบโต้คนที่ทำให้เราโกรธได้เจ็บปวดบ้าง อีกทั้งอารมณ์ความรู้สึกของเรายังร้อนคุกรุ่นอยู่ โอกาสที่เราจะทำบาปก็มีแนวโน้มสูง
และในเวลาเดียวกันเราไม่รู้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของคู่กรณีของเราเป็นอย่างไร พร้อมรับการที่เราจะเข้าไปเผชิญหน้าหรือไม่
กล่าวโดยภาพรวมวิธีการนี้มีความเสี่ยงที่จะให้เกิดการบาดหมางกันง่าย
และอาจจะสร้างบาดแผลแก่กันและกันที่บาดลึกลงไปมากกว่าเดิมก็ได้
ประการที่สอง เมื่อใดก็ตามที่เราเกิดความโกรธ ให้เราระบายความรู้สึกโกรธ ความรู้สึกไม่พอใจ ความรู้สึกเจ็บปวดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับฟังเรา
ยิ่งกว่านั้นการระบายกับพระเจ้าด้วยความจริงใจเป็นการระบายที่ปลอดภัย เราจึงไม่ต้องกลัวอะไร พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับมือกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา
พระปัญญาของพระองค์จะทรงให้การปรึกษาแก่ชีวิตจิตใจของเรา
และพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณพร้อมให้การเยียวยารักษาบาดแผลที่เราได้รับ
แล้วเปลี่ยนความเจ็บปวดเป็นความเข้าใจในคุณค่าของชีวิตของทั้งตนเองและคู่กรณี
ประการที่สาม การรับมือกับความโกรธในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราเป็นอวัยวะหนึ่งในพระกายของพระคริสต์
การที่เราโกรธมิใช่เรื่องระหว่างเรากับคู่กรณีของเราเท่านั้น แต่การที่เราโกรธอาจสร้างผลกระทบต่อส่วนอื่นๆ ในพระกายของพระคริสต์ ดังเปาโลกล่าวก่อนหน้านี้ในข้อที่ 25 ว่า “...ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตนเพราะเราต่างเป็นอวัยวะของกันและกันจะโกรธก็โกรธได้
แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกแล้วยังโกรธอยู่
อย่าให้โอกาสแก่มาร...” (ข้อ 25-27)
เปาโลแนะนำเราว่า เมื่อเราโกรธเราอาจจะหาบางคนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อ ที่เราสามารถไว้วางใจได้ แล้วพูดความจริงในเรื่องที่เราโกรธ
ที่เกิดขึ้นในตัวเราให้เขาฟัง
การที่เพื่อนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อได้ฟังเราอย่างใส่ใจ เป็นทางหนึ่งที่เราสามารถระบายความโกรธที่อัดแน่นในจิตใจของเราออกมา
นอกจากนั้นแล้วการที่เขาฟังเราอย่างใส่ใจยังจะช่วยให้อารมณ์และความรู้สึกโกรธของเราเย็นสงบลง และเขายังจะให้มุมมองที่เหมาะสมแก่เราในเรื่องที่เรากำลังโกรธ แล้วยังสามารถช่วยให้เราตัดสินใจเลือกแนวทางที่ดีที่สุดในการสร้างการคืนดีกับคู่กรณีของเรา
ดังนั้น
เมื่อเราโกรธ อย่าซุกซ่อนความโกรธไว้ในจิตใจ อารมณ์
และความรู้สึกของเราให้คุกรุ่นรังแต่จะเพิ่มความร้อนแรงขึ้น
ในเวลาเดียวกันก็อย่ารีบด่วนไปเผชิญหน้ากับคู่กรณี เพราะการทำเช่นนั้นย่อมมีหลุมพรางมากมายที่จะทำให้เราทำบาปแน่ แต่ให้เราเปิดใจเปิดความรู้สึกของเราทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความจริงใจ แล้วหาทางปรึกษาเรื่องที่เรากำลังโกรธกับพี่น้องคริสตชนที่มีวุฒิภาวะในชีวิตและความเชื่อที่เราไว้วางใจ
เพื่อเราจะไม่ตกหลุมพรางของความโกรธที่ทำให้เราต้องทำบาป แต่เราจะค้นพบแนวทางที่เราจะกลับไปสร้างการคืนดีกับคู่กรณี
ใช่ครับ
วันนี้จะโกรธก็โกรธได้
แต่ให้เราจัดการความโกรธบนรากฐานความเชื่อของคริสตชน
ที่จะนำมาซึ่งการเสริมสร้างการคืนดีกันและกัน และต้องไม่ลืมว่า
ความโกรธใช่เป็นเรื่องของเรากับคู่กรณีเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผู้คนในชุมชนคริสตจักร และ เมื่อโกรธต้องตระหนักรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความร่มเย็นที่จะให้ความสงบและสันติสุขเมื่อเรากำลังเร่าร้อนด้วยความโกรธ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น