31จงเอาความขมขื่น
ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น
รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน
32
แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน
เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์
(เอเฟซัส 4:31-32 มตฐ.)
ชุมชนทั้งในสังคมและคริสตจักร
ความแตกแยกแบ่งพวกแบ่งก๊กเกิดจากการที่เรามีจิตใจ “ขมขื่น” ต่อกัน ใช้อารมณ์ฉุนเฉียวกับคนอื่น โกรธและไม่พอใจในท่าที คำพูด
และการกระทำของคนรอบข้าง
ในที่สุดนำมาถึงการทุ่มเถียงกัน
และการพูดจาหมิ่น ดูถูก
และการทำร้ายกันด้วยคำพูด และ การกระทำ
แล้วทำไมเราถึงต้องให้อภัยแก่คนที่ทำผิดต่อเราอย่างที่กล่าวข้างต้น?
นี่คงเป็นคำถามในใจของหลายต่อหลายคน ในข้อที่ 32
บอกกับเราว่า ที่เราให้อภัยแก่คนที่กระทำผิดต่อเราได้นั้นเราจะต้องมีจิตใจที่กรุณา
และ ใจสงสารเหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยเราแต่ละคนในพระคริสต์
แต่ในพระธรรมข้อนี้มีอะไรที่น่าสนใจสำหรับเรามากกว่านั้น
ในพระคัมภีร์ฉบับอมตธรรมได้แปล เอเฟซัส 4:32 ไว้ว่า “จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกันเหมือนที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ท่านในพระคริสต์”
ประการแรกพระคัมภีร์ข้อนี้กำลังกล่าวแก่เราแต่ละคน ทรงเรียกร้องให้เราเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีใจที่กรุณา เห็นใจกันและกัน และมีหัวใจแห่งการให้อภัย แต่ในเวลาเดียวกัน พระคัมภีร์ข้อนี้มิได้กล่าวแก่แต่ละคนเป็นการส่วนตัวเท่านั้น แต่ประการต่อมา เป็นการกล่าวแก่ชุมชนแห่งพระกายของพระคริสต์
กล่าวแก่พี่น้องหญิงชายในครอบครัวของพระเจ้า
คำที่บ่งชี้ถึงการกล่าวแก่ชุมชนครอบครัวของพระเจ้าหรือคริสตจักรคือ
“ให้อภัยกันและกัน” (มตฐ.)
พระธรรมเอเฟซัส 4:32 มิได้เรียกร้องให้คริสตชนแต่ละคนให้มีใจที่ให้อภัยเท่านั้น
แต่เรียกร้องให้ชุมชนคริสตจักรที่จะให้อภัยแก่กันและกันด้วย
ที่ใดก็ตามที่ประชากรของพระเจ้ารวมตัวเข้าด้วยกันเป็นชุมชนคริสตจักร
สามัคคีธรรมที่ชุมชนคริสตจักรนั้นมีต่อกันเกิดจากการที่ชุมชนนั้นเป็นชุมชนแห่งการให้อภัยกันและกัน เพราะในชุมชนคริสตจักรมิใช่ชุมชนที่ไม่มีความผิดบาป
หรือ มีความผิดบาปน้อย ตรงกันข้าม
ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนที่มีความบาปผิดจึงจำเป็นที่จะต้องมีการให้อภัยกันและกัน
การให้อภัยจำเป็นจะต้องมีขึ้นก็เพราะชุมชนนั้นได้กระทำความผิดบาป เพราะฉะนั้น
ที่พระคัมภีร์ข้อนี้บอกให้ชุมชนคริสตจักรมีจิตใจที่อภัยแก่กันและกันแสดงชัดเจนว่าคริสตจักรเป็นชุมชนที่ยังมีการกระทำผิดบาปอยู่
ชุมชนคริสตจักรจึงมิได้เป็นชุมชนที่ดีน่ารักบริสุทธิ์ไม่มีความบาปมลทินแปดเปื้อนเหมือนที่บางครั้งเราหลงลืมหลอกตนเอง และคริสตชนคงต้องตระหนักชัดว่า
พลังแห่งความบาปในคริสตจักรคือฆาตกรที่จะทำลายจิตใจที่ให้อภัยแก่กันและกันและพันธกิจแห่งการคืนดี
ชุมชนแห่งการให้อภัยจะไม่มุ่งเน้นสนใจที่จะปัดกวาดให้ชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนที่บริสุทธิ์ด้วยการตีตราตัดสินกล่าวโทษกันและกัน หรือหาทางคว่ำบาตร อัปเปหิ หรือเบียดไล่ เฉดหัวคนที่ทำผิดให้ออกไปจากชุมชนคริสตจักร
แต่ในเวลาเดียวกันชุมชนแห่งการให้อภัยมิใช่ชุมชนที่ใช้ระบบคุณค่าที่ยกย่องคนที่ภูมิใจว่าตนไม่จำเป็นจะต้องรับการให้อภัยเพราะตนมิใช่คนทำผิดด้วย
แต่ชุมชนแห่งการให้อภัยเป็นชุมชนที่สมาชิกทุกคนในชุมชนนั้นตระหนักชัดว่า เขาจะต้องระมัดระวังชีวิตที่จะกระทำบาปผิด และตระหนักรู้ว่า
แท้จริงตนก็หลงผิดมีชีวิตที่หลุดห่างจากพระคุณของพระเจ้า
และสำนึกเสมอว่าตนเป็นผู้ที่ได้รับการทรงอภัยจากพระเจ้า และทรงให้มีจิตใจที่จะสืบสานส่งต่อการให้อภัยที่ตนได้รับนั้นไปยังผู้คนรอบข้างที่ได้พลาดพลั้งกระทำผิด รวมถึงคนที่เขากระทำผิดต่อเราด้วย
ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา
เราได้เห็นถึงการยืนหยัดของชุมชนคริสตจักรในการเสริมสร้างชุมชนแห่งการให้อภัย ผมได้เดินทางไปยังคริสตจักรต่างๆ พบหลายคริสตจักรที่ไม่ได้กระทำอะไรมากมายใหญ่โต แต่เป็นคริสตจักรแห่งการให้อภัย และในเวลาเดียวกันก็ได้พบคริสตจักรที่ทำพันธกิจมากมายใหญ่โต
แต่ล้มเหลวในการให้อภัยกันและกันในคริสตจักร เมื่ออ่านเอเฟซัส 4:32
ได้ให้นิมิตแก่เราว่า
ไม่ว่าชุมชนคริสตจักรของเราจะทำได้ดีแค่ไหน หรือทำได้ไม่ดีปานใด แต่ให้เราเป็นชุมชนที่ให้อภัย ที่ใดที่มีการกระทำผิดพลาดล้มลงจะไม่ถูก
“เหยียบย่ำ ขับไล่”
แต่เป็นชุมชนที่ยังให้อภัย เยียวยา
และ ยอมรับ
การที่เราจะดำเนินชีวิตคริสตชนด้วยจิตใจแห่งการให้อภัยมิใช่เพียงในชุมชนคริสตจักรของเราเท่านั้น แต่ให้เรามีจิตใจแห่งการให้อภัยในชุมชนอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าในชุมชนครอบครัว ชุมชนที่ทำงาน
ชุมชนกลุ่มเพื่อนฝูง
หรือแม้แต่ในชุมชนสังคมที่เราเข้าไปสัมพันธ์สัมผัสด้วย
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น