อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย
แต่จงกล่าวคำดีๆ
ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ (ตามความจำเป็นของเขา)
เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน
(เอเฟซัส 4:29 มตฐ.
ในวงเล็บ อมต.)
เมื่อเราย้อนอ่านพระธรรมก่อนหน้านี้ ในเอเฟซัส 4:22-24 ได้ให้ภาพที่ชัดเจนถึง “ชีวิตในพระเยซูคริสต์”
ว่าเป็นชีวิตที่ละทิ้ง (ขับไล่) “ตัวเก่า” ของเรา ในอมตธรรมใช้คำว่า “ทิ้งตัวตนเก่า”
เกี่ยวกับวิถีชีวิตเดิม” แล้ว
“รับการสร้างท่าที ความคิด จิตใจขึ้นใหม่” (ข้อ 23 อมต.) “ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่” (มตฐ.) ในข้อที่ 25 บอกเราว่า
“...จงละทิ้งความเท็จ “ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตน”” (มตฐ.) ในข้อที่ 26
บอกให้เราอย่าถูกครอบงำด้วยอำนาจชั่วด้วยความโกรธที่เกิดขึ้นในตัวเรา และในข้อที่ 28 ขโมยให้ละทิ้งนิสัยขโมยเสีย แต่ให้ทำงาน
ใช้มือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
เผื่อจะมีอะไรแบ่งปันแก่คนขัดสน
เอเฟซัส 4:29
เป็นคำสอนที่ต่อจากข้างต้นที่กล่าวแนะนำถึงคริสต์จริยธรรม โดยเริ่มจากการละทิ้ง หรือ ขับไล่สิ่งที่เลว
ชั่วร้ายออกจากตัวตนในชีวิตของเราก่อน
แล้วจึงค่อยเปิดชีวิตรับสิ่งดีสร้างสรรค์เป็นคุณประโยชน์เข้าในชีวิตใหม่
หรือ ชีวิตในพระเยซูคริสต์ของเรา
พระธรรมข้อนี้กล่าวว่า “อย่าให้คำเลวร้าย (sapros) ออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ
(agathos) ที่เสริมสร้าง ที่เหมาะสมตามความจำเป็นของเขา (อมต.)”
ภาษากรีกคำว่า sapros มีความหมายว่า เลวทราม เน่าเสีย ขยะแขยง เป็นสิ่งที่มีคุณภาพต่ำทราม เป็นสิ่งที่เลวสิ่งชั่ว หรือ
เป็นสิ่งที่อันตราย ทำลายคนอื่น
พระเยซูคริสต์ได้ใช้คำนี้ในมัทธิว 7:17 “ต้นไม้ดี (agathos)
ย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลว (sapros ) ก็ย่อมให้ผลเลว”
คริสตชนพึงละทิ้งให้ห่างไกลจากการใช้คำพูดที่สร้างแต่การทำร้ายทำลาย
และ สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่คนอื่น
คำพูดที่รังแต่รื้อถอนทำลายให้หักพังแทนที่จะเป็นคำพูดที่สร้างเสริมเพื่อนบ้าน
ใช่ครับ
คริสตชนควรใช้คำพูดที่เสริมสร้าง หรือ สร้างสรรค์
คำพูดที่ออกมาจากปากของเราควรเป็นคำพูดที่หนุนเสริม เป็นคุณเป็นประโยชน์ (agathos) ตามความจำเป็นของผู้ได้ยินได้ฟัง (ข้อ 29) รากศัพท์ภาษากรีกที่เราแปลว่า
“เป็นประโยชน์” มีความหมายพื้นฐานว่า
“ดี” ขอตั้งข้อสังเกตว่า คริสตชนสามารถใช้พลังแห่งคำพูดเพื่อให้เกิดสิ่งดี
2 ประการคือ
ประการแรก
คำพูดของเราสามารถเสริมสร้างผู้ฟังตามสิ่งที่จำเป็นต้องการของเขา
ประการที่สอง
คำพูดของเราสร้างประโยชน์แก่ผู้ได้ยินได้ฟัง
ตามความหมายรากศัพท์ในพระธรรมตอนนี้มีความหมายลึกซึ้งหนักแน่นว่า คำพูดของเราสามารถ ให้คุณแก่คนที่ฟังเรา คำพูดของเราสามารถเป็นแหล่งแห่ง “พระคุณ”
สำหรับคนอื่น หรือ คนที่ได้ยินได้ฟังเราพูด
เอเฟซัส 4:29 ท้าทายคริสตชนไทยในปัจจุบันให้ใคร่ครวญพิจารณาอย่างละเอียดสุขุมว่า เราใช้พลังแห่งคำพูดของเราไปในทางใด
- คำพูดของเราบางครั้งกระชากทำร้ายทำลายคนอื่นหรือไม่?
- คำพูดที่บ่น กล่าวหา ตัดสิน จนทำให้ผู้ฟังเกิดความสิ้นหวัง ชุมชนเกิดความแตกหักหรือไม่?
- หรือเราใช้พลังแห่งคำพูดเพื่อให้เกิดสิ่งดี เพื่อเสริมสร้างผู้คนรอบข้างเรา และคำพูดของเราเป็นช่องทางแห่ง “พระคุณของพระเจ้า” สำหรับผู้ได้ยินได้ฟังหรือไม่?
ในช่วงฤดูการหาเสียงของคนที่อยากเป็นผู้บริหารองค์กรคริสต์ศาสนาระดับชาติ พึงใคร่ครวญและสุขุมในการใช้ “คำพูด”
ของตน
ที่ไม่ตกภายใต้การครอบงำของอำนาจชั่ว
ที่จะก่อให้เกิดความบาดหมาง
สร้างความเจ็บปวดแก่คนอื่น
กล่าวร้ายป้ายสีคนอื่นทั้งที่เป็นเท็จและจริง พูดดีใส่ตัว
สาดชั่วใส่คนอื่น
แต่สิ่งที่อันตรายและเสียหายอย่างมากคือ
คำพูดที่ทำให้คริสตจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระคริสต์ฉีกขาด แตกหักเป็นเสี่ยงๆ
ผมฝัน(หวาน)ว่า
ฤดูการหาเสียงปีนี้ในองค์กรคริสตจักรไทยของเรา
เป็นการหาเสียงด้วยพลังคำพูดที่เสริมสร้างกันและกัน (ไม่ว่าใครจะอยู่ในพรรค
พวก หรือ กลุ่มไหนก็ตาม)
เป็นพลังคำพูดที่เป็นความจริงจากใจ
ที่พูดด้วยความสัตย์ซื่อและรับผิดชอบ (ไม่ว่าจะพูดบนธรรมาสน์ บนเวที หรือ
การพูดส่วนตัว
รวมไปถึงการพูดกระซิบเพื่อให้คนบางคนเท่านั้นได้ยิน) เป็นคำพูดที่ให้คุณ หรือ
เป็นพระคุณสำหรับคนที่ได้ยินได้ฟัง และ สำหรับชุมชนคริสตจักร
แต่ที่ไม่ต้องฝันเลยครับว่า
วันนี้ให้เราพูดคำดีมีพระคุณที่เสริมสร้างกันทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน
ชุมชน และในกลุ่มเพื่อนของเราครับ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น