13 มิถุนายน 2557

สำนึกว่า...จิตวิญญาณของตนล้มละลาย!

ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ  
เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว  (มัทธิว 5:3 อมต.)

อะไรที่ไม่ใช่ความหมายในพระธรรมตอนนี้

พระเยซูคริสต์มิได้หมายความว่า  คนยากจนคือคนที่ได้พระพร หรือมีความสุขทางจิตวิญญาณ    และก็ไม่ได้หมายความว่า  เพราะความขัดสนทางวัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองทำให้พวกเขาใกล้ชิดพระเจ้า  และรับพระพรของพระองค์มากกว่าคนอื่น

พระเยซูคริสต์ไม่ได้หมายความว่า  พระพร หรือ ความสุขเป็นของคนที่ “ยากจนขัดสนในจิตวิญญาณ”  ที่มีความหมายถึงคนที่ขาดความกล้าหาญ  ขาดพลัง  ขาดความกระตือร้น   หรือมีจิตใจที่ห่อเหี่ยว  ไม่อยากทำอะไร  พระองค์ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะเป็นที่พึงพอใจของพระเจ้า

พระเยซูก็ไม่ได้หมายความว่า  คนที่ “เก็บตัว”  คนเฉยๆ ดูไม่ดิ้นรน  จะเป็นคนที่ดีกว่าคนที่เปิดเผย  ชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่น   และพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า   คนที่รู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง  หรือ รู้สึกว่าตนมีภาพลักษณ์ชีวิตที่ย่ำแย่จะได้รับพระพรหรือมีสุข

เราต้องชัดเจนในประการนี้ว่า  พระพรและความสุขที่พระเยซูคริสต์สอนในตอนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับบุคลิกภาพของบุคคล

ความหมายที่พระคริสต์กล่าวถึง

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า   การที่พระเยซูคริสต์ใช้คำว่า “ขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ” หรือ “ยากจนด้านจิตวิญญาณ”   นั้นเป็นการสอนด้วยการอุปมาเปรียบเทียบ   โดยใช้คำว่า “ขัดสน หรือ ยากจน” ด้านวัตถุสิ่งของ หรือ เงินทอง   มาใช้กับ  ชีวิตด้านจิตวิญญาณของคนเรา

คำว่า “ขัดสน หรือ ยากจน” พระคัมภีร์ภาษากรีกใช้กันอยู่  2 คำคือ คำแรก penichros  เราพบในลูกา 21:2 “หญิงหม้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นคน ขัดสน”  นางมีเงินเพียงเล็กน้อย (สองเหรียญทองแดง)  ซึ่งเป็นความยากจนขัดสนอย่างมาก  แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีอยู่สองเหรียญทองแดง   กับอีกคำหนึ่งในภาษากรีก  ptochos  ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพระธรรมตอนนี้ หมายถึงความยากจนขัดสนจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยในชีวิต   ไม่สามารถที่จะพึ่งตนเองได้   ต้องพึ่งพิงทุกอย่างจากคนอื่นเพื่อค้ำจุนชีวิตตนเองให้อยู่รอด

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม “คนยากจนขัดสน” เป็นกลุ่มชนที่ไร้ซึ่งอำนาจ มีแต่ต้องพึ่งพิงคนอื่น   เป็นความยากจนขัดสนด้านวัตถุและเศรษฐกิจและมักถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ของคนมั่งมีและผู้มีอำนาจ   เราพบว่าคนกลุ่มนี้ในพระคัมภีร์เขาพึ่งหวังการปกป้องและค้ำจุนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น

แต่อย่างไรก็ตาม  ในพระธรรมตอนนี้เป็นเรื่อง “ความยากจนขัดสนด้านจิตวิญญาณ”   และเป็นความยากจนขัดสนที่ไม่อะไรเหลืออยู่ในด้านจิตวิญญาณ   ในที่นี้หมายถึงคนที่ “ล้มละลายด้านจิตวิญญาณ”   ไม่มีคุณค่า  ไม่มีบุญญาบารมี  หรือ  คุณธรรมอะไรเหลืออยู่เลยต้องพึ่งพาและการค้ำจุนจากพระเจ้าในทั้งชีวิต   คนที่สำนึกเช่นนี้แหละที่พระเยซูคริสต์บอกว่า  “ความสุขมีแก่คนที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ”   เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว   หมายความว่า   เพราะเขาสำนึกว่าตนต้องพึ่งพิงพระเจ้าในด้านจิตวิญญาณ   และยอมตนเข้าอยู่ใต้การครอบครองของพระองค์   ที่รับการทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของตนขึ้นใหม่   ดังนั้นเขาจึงได้เป็นประชากรคนหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า

การสำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ   คือการยอมรับและตระหนักชัดเจนว่า   ตนสิ้นเนื้อประดาตัวในด้านจิตวิญญาณ   เป็นการรู้เท่าทันและสารภาพยอมรับต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า  จิตวิญญาณของตนเสื่อมต่ำ ขัดสน ข้นแค้น  ไร้ความชอบธรรม  และต้องการพึ่งพิงในพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น   ผู้ประพันธ์สดุดี 51:17  กล่าวว่า  
“เครื่อง​บูชา​ที่​พระ​เจ้า​ทรง​ปรารถ​นา​คือ​จิต​ใจ​ที่​แตก​สลาย
จิตใจที่​แตก​สลาย​และ​สำ​นึก​ผิด​นั้น
ข้า​แต่​พระ​เจ้า พระ​องค์​จะ​ไม่​ทรง​ดู​ถูก (มตฐ.)

ทำไมพระเยซูถึงกล่าวเรื่องนี้เป็นประการแรก

ทำไมข้อนี้จึงเป็นพระพร หรือ ความสุขประการแรก?   ที่พระคริสต์นำขึ้นมา

ทำไมคุณลักษณะการสำนึกใน  “ความยากจนขัดสนด้านจิตวิญญาณ”   จึงเป็นเรื่องแรกที่พระคริสต์กล่าวถึง?

ทำไม “การล้มละลายด้านจิตวิญญาณ”  จึงเป็นเรื่องแรกที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง?

เพราะการที่เราสำนึก และ ตระหนักชัดว่า ชีวิตของเราว่างเปล่า  ล้มละลายในด้านคุณธรรมและคุณค่า  เมื่อนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเติมเต็มความชอบธรรมในชีวิตของเราด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์   ประการนี้เป็นรากฐานสำคัญสุดของชีวิตคริสตชน   ตราบใดที่คนเราไม่สำนึกและตระหนักชัดว่า “เราขาด”   แต่กลับคิดว่าเรามี....   เมื่อนั้นชีวิตของเราไม่มีที่ว่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเติมเต็มคุณค่าและคุณธรรมของพระองค์ให้แก่เราได้    ดังที่ ยอห์นเตือนเราในพระธรรมวิวรณ์ 3:17 ว่า  “เพราะ​เจ้า​พูด​ว่า ข้า​เป็น​เศรษฐี​และ​ข้า​ร่ำ​รวย​แล้ว ข้า​ไม่​ต้อง​การ​สิ่ง​ใด​เลยเจ้า​ไม่​รู้​ว่า​เจ้า​เป็น​คน​น่า​สม​เพช น่า​สัง​เวช เจ้า​ยาก​จน ตา​บอด และ​เปลือย​กาย” 

พระเยซูคริสต์กล่าวว่า   ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ   เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้า(สวรรค์)เป็นของเขาแล้ว   ขอตั้งข้อสังเกตว่า   ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ภาษากรีกเป็นประโยคปัจจุบันกาล   คือคนๆ นั้นได้เริ่มเป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้าตั้งแต่วันนี้   ไม่ต้องรอหลังความตายก่อนจึงจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์

พระพรหรือความสุขที่แท้จริงนั้น  เริ่มต้นที่การสำนึกถึงสภาพชีวิตภายในของตน   แล้วยอมรับการทรงเปลี่ยนแปลง   เติมเต็ม  และสร้างใหม่จากพระเจ้า   พระพรและความสุขมิใช่สิ่งที่เกิดจากสภาพการณ์ภายนอก   มิใช่ขึ้นอยู่กับกฎหมาย   ไม่ได้ขึ้นกับความเด็ดขาดจริงจังในการควบคุมสังคม   ไม่ได้เกิดขึ้นจากมีสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่ดี    สิ่งเหล่านี้มีบางคนที่หยิบยื่นให้เราได้   แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระพรที่ทำให้เกิดความสุขที่แท้จริงยั่งยืนแก่คนและสังคม

พระพรที่เป็นความสุขที่แท้จริงเริ่มต้นที่เราท่านได้รับการวางรากฐานชีวิตภายในจิตวิญญาณจากพระเจ้าเป็นประการแรก   ทั้งในความคิด  มุมมองทัศนคติ  ความเชื่อศรัทธา   และความไว้วางใจในพระเจ้า   ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจ  การเลือก   การพูด  ท่าทีที่แสดงออกจนถึงการกระทำของตน   และสิ่งเหล่านี้ที่เป็นผลจากภายในชีวิตของเราต่างหาก  ที่ทำให้สังคมของเราได้รับพระพรหรือการแช่งสาป   ได้รับความสุขหรือความทุกข์ที่นำสู่ความหายนะ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น