ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ
เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว (มัทธิว 5:3 อมต.)
อะไรที่ไม่ใช่ความหมายในพระธรรมตอนนี้
พระเยซูคริสต์มิได้หมายความว่า คนยากจนคือคนที่ได้พระพร หรือมีความสุขทางจิตวิญญาณ และก็ไม่ได้หมายความว่า เพราะความขัดสนทางวัตถุ สิ่งของ
ทรัพย์สินเงินทองทำให้พวกเขาใกล้ชิดพระเจ้า และรับพระพรของพระองค์มากกว่าคนอื่น
พระเยซูคริสต์ไม่ได้หมายความว่า พระพร หรือ ความสุขเป็นของคนที่ “ยากจนขัดสนในจิตวิญญาณ” ที่มีความหมายถึงคนที่ขาดความกล้าหาญ ขาดพลัง
ขาดความกระตือร้น หรือมีจิตใจที่ห่อเหี่ยว ไม่อยากทำอะไร
พระองค์ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะเป็นที่พึงพอใจของพระเจ้า
พระเยซูก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ “เก็บตัว” คนเฉยๆ ดูไม่ดิ้นรน จะเป็นคนที่ดีกว่าคนที่เปิดเผย ชอบคบค้าสมาคมกับคนอื่น และพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่รู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง หรือ รู้สึกว่าตนมีภาพลักษณ์ชีวิตที่ย่ำแย่จะได้รับพระพรหรือมีสุข
เราต้องชัดเจนในประการนี้ว่า พระพรและความสุขที่พระเยซูคริสต์สอนในตอนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับบุคลิกภาพของบุคคล
ความหมายที่พระคริสต์กล่าวถึง
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า การที่พระเยซูคริสต์ใช้คำว่า
“ขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ” หรือ “ยากจนด้านจิตวิญญาณ”
นั้นเป็นการสอนด้วยการอุปมาเปรียบเทียบ
โดยใช้คำว่า “ขัดสน หรือ ยากจน” ด้านวัตถุสิ่งของ หรือ เงินทอง มาใช้กับ
ชีวิตด้านจิตวิญญาณของคนเรา
คำว่า “ขัดสน หรือ ยากจน”
พระคัมภีร์ภาษากรีกใช้กันอยู่ 2 คำคือ คำแรก penichros เราพบในลูกา 21:2 “หญิงหม้ายคนหนึ่งซึ่งเป็นคน ขัดสน” นางมีเงินเพียงเล็กน้อย
(สองเหรียญทองแดง)
ซึ่งเป็นความยากจนขัดสนอย่างมาก
แต่อย่างน้อยเธอก็ยังมีอยู่สองเหรียญทองแดง กับอีกคำหนึ่งในภาษากรีก ptochos ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพระธรรมตอนนี้ หมายถึงความยากจนขัดสนจนไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยในชีวิต ไม่สามารถที่จะพึ่งตนเองได้ ต้องพึ่งพิงทุกอย่างจากคนอื่นเพื่อค้ำจุนชีวิตตนเองให้อยู่รอด
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม “คนยากจนขัดสน”
เป็นกลุ่มชนที่ไร้ซึ่งอำนาจ มีแต่ต้องพึ่งพิงคนอื่น
เป็นความยากจนขัดสนด้านวัตถุและเศรษฐกิจและมักถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกใช้เป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ของคนมั่งมีและผู้มีอำนาจ เราพบว่าคนกลุ่มนี้ในพระคัมภีร์เขาพึ่งหวังการปกป้องและค้ำจุนจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในพระธรรมตอนนี้เป็นเรื่อง
“ความยากจนขัดสนด้านจิตวิญญาณ”
และเป็นความยากจนขัดสนที่ไม่อะไรเหลืออยู่ในด้านจิตวิญญาณ ในที่นี้หมายถึงคนที่ “ล้มละลายด้านจิตวิญญาณ” ไม่มีคุณค่า
ไม่มีบุญญาบารมี หรือ คุณธรรมอะไรเหลืออยู่เลยต้องพึ่งพาและการค้ำจุนจากพระเจ้าในทั้งชีวิต
คนที่สำนึกเช่นนี้แหละที่พระเยซูคริสต์บอกว่า “ความสุขมีแก่คนที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ” เพราะอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว หมายความว่า
เพราะเขาสำนึกว่าตนต้องพึ่งพิงพระเจ้าในด้านจิตวิญญาณ และยอมตนเข้าอยู่ใต้การครอบครองของพระองค์ ที่รับการทรงเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของตนขึ้นใหม่ ดังนั้นเขาจึงได้เป็นประชากรคนหนึ่งในแผ่นดินของพระเจ้า
การสำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ คือการยอมรับและตระหนักชัดเจนว่า ตนสิ้นเนื้อประดาตัวในด้านจิตวิญญาณ
เป็นการรู้เท่าทันและสารภาพยอมรับต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จิตวิญญาณของตนเสื่อมต่ำ ขัดสน ข้นแค้น ไร้ความชอบธรรม
และต้องการพึ่งพิงในพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ผู้ประพันธ์สดุดี 51:17 กล่าวว่า
“เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงปรารถนาคือจิตใจที่แตกสลาย
จิตใจที่แตกสลายและสำนึกผิดนั้น
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงดูถูก (มตฐ.)
ทำไมพระเยซูถึงกล่าวเรื่องนี้เป็นประการแรก
ทำไมข้อนี้จึงเป็นพระพร หรือ
ความสุขประการแรก? ที่พระคริสต์นำขึ้นมา
ทำไมคุณลักษณะการสำนึกใน
“ความยากจนขัดสนด้านจิตวิญญาณ” จึงเป็นเรื่องแรกที่พระคริสต์กล่าวถึง?
ทำไม
“การล้มละลายด้านจิตวิญญาณ” จึงเป็นเรื่องแรกที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง?
เพราะการที่เราสำนึก และ ตระหนักชัดว่า
ชีวิตของเราว่างเปล่า
ล้มละลายในด้านคุณธรรมและคุณค่า เมื่อนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเติมเต็มความชอบธรรมในชีวิตของเราด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์ ประการนี้เป็นรากฐานสำคัญสุดของชีวิตคริสตชน ตราบใดที่คนเราไม่สำนึกและตระหนักชัดว่า “เราขาด” แต่กลับคิดว่าเรามี.... เมื่อนั้นชีวิตของเราไม่มีที่ว่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเติมเต็มคุณค่าและคุณธรรมของพระองค์ให้แก่เราได้
ดังที่ ยอห์นเตือนเราในพระธรรมวิวรณ์ 3:17 ว่า “เพราะเจ้าพูดว่า
‘ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว
ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย’ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช
น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย”
พระเยซูคริสต์กล่าวว่า
ความสุขมีแก่ผู้ที่สำนึกว่าตนขัดสนฝ่ายจิตวิญญาณ
เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้า(สวรรค์)เป็นของเขาแล้ว ขอตั้งข้อสังเกตว่า ประโยคนี้ในพระคัมภีร์ภาษากรีกเป็นประโยคปัจจุบันกาล คือคนๆ นั้นได้เริ่มเป็นประชากรในแผ่นดินของพระเจ้าตั้งแต่วันนี้ ไม่ต้องรอหลังความตายก่อนจึงจะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์
พระพรหรือความสุขที่แท้จริงนั้น เริ่มต้นที่การสำนึกถึงสภาพชีวิตภายในของตน แล้วยอมรับการทรงเปลี่ยนแปลง เติมเต็ม
และสร้างใหม่จากพระเจ้า
พระพรและความสุขมิใช่สิ่งที่เกิดจากสภาพการณ์ภายนอก มิใช่ขึ้นอยู่กับกฎหมาย
ไม่ได้ขึ้นกับความเด็ดขาดจริงจังในการควบคุมสังคม ไม่ได้เกิดขึ้นจากมีสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่ดี
สิ่งเหล่านี้มีบางคนที่หยิบยื่นให้เราได้
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พระพรที่ทำให้เกิดความสุขที่แท้จริงยั่งยืนแก่คนและสังคม
พระพรที่เป็นความสุขที่แท้จริงเริ่มต้นที่เราท่านได้รับการวางรากฐานชีวิตภายในจิตวิญญาณจากพระเจ้าเป็นประการแรก ทั้งในความคิด มุมมองทัศนคติ
ความเชื่อศรัทธา และความไว้วางใจในพระเจ้า ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจ การเลือก
การพูด ท่าทีที่แสดงออกจนถึงการกระทำของตน
และสิ่งเหล่านี้ที่เป็นผลจากภายในชีวิตของเราต่างหาก
ที่ทำให้สังคมของเราได้รับพระพรหรือการแช่งสาป ได้รับความสุขหรือความทุกข์ที่นำสู่ความหายนะ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น