แน่นอนครับ...คงไม่มีใครชื่นชมและมีความสุขกับความล้มเหลวที่ตนประสบ! เพราะมันสร้างความเจ็บปวดแก่เราในทุกมิติของชีวิต
ไม่ว่านั่นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกหรือครั้งที่หนึ่งพันก็ตาม
ทำไมหรือ?
เพราะความล้มเหลวเป็นเหมือนของบูดเน่ากลิ่นเหม็นที่เราไม่อยากดม มันเป็นเหมือนหนามที่แหลมคมที่เราไม่ต้องการถูกตำหรือทิ่มแทง มันทำให้เรารู้สึกอายที่ล้มเหลว มันสร้างความอึดอัดและยุ่งยากใจไม่น้อย เมื่อพบกับความล้มเหลวมักตามด้วยความสิ้นหวังท้อแท้ และเราก็ไม่ต้องการคำวิพากษ์หรือการตัดสินจากคนที่รู้เห็นในความล้มเหลวของเรา
อย่างไรก็ตาม
การวิจัยแสดงเห็นว่า
การกลัวความล้มเหลวมักนำไปสู่การผัดวันประกันพรุ่งและการหลีกเลี่ยงหลีกหนีจากสิ่งที่คนนั้นกลัวว่าตนจะล้มเหลว
การกลัวความล้มเหลวจึงขัดขวางการเติบโตในชีวิตจิตวิญญาณของเราในทุกการท้าทายใหม่ และเสียโอกาสการพัฒนาศักยภาพในด้านต่าง ๆ ที่มีในชีวิตของเรา
ถ้าต้องการความสำเร็จในชีวิต เราต้องเต็มใจยอมรับการล้มเหลว แทนการกลัวความล้มเหลว
ทุกคนมีความกลัวได้
แต่อย่าให้ความกลัวเข้ามาครอบงำและควบคุมชีวิตจิตใจของเรา ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองของเราต่อความกลัว
อีกมุมมองหนึ่ง
ไม่ควรมองความล้มเหลวเป็นเหมือนปีศาจที่ซุ่มซ่อนตนในมุมมืดคอยสร้างสิ่งที่เลวร้ายแก่ชีวิตเรา แท้จริงแล้ว
ถ้าไม่มีความล้มเหลว เราก็จะไม่ได้เรียนรู้เรื่องต่าง
ๆ อีกมายในชีวิต
แทนที่จะมองความล้มเหลวเป็นความเลวร้าย
แต่ให้เรามองความล้มเหลวเป็นมิตรของเรา
เป็นมิตรที่มีความจริงใจสะท้อนให้เราเห็นตัวตนแท้จริงในบางแง่บางมุมให้เราได้เห็นตระหนักและหาโอกาสที่จะแก้ไขและพัฒนา
ให้เรามาร่วมกันพิจารณาว่าเราจะก้าวย่างอย่างไรในความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแก่เรา ทำให้เราเกิดการเรียนรู้ให้ได้มากที่สุดจากความล้มเหลวในแต่ละครั้ง
แล้วสามารถเยียวยาความรู้สึกให้เข้าสู่ภาวะปกติเร็วที่สุดเมื่อเราล้มเหลว
แล้วใช้บทเรียนจากความล้มเหลวครั้งนั้นในการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ใหม่ ๆ ต่อไป
และนี่คือ 4
ก้าวย่างที่จะช่วยให้เราอยู่เหนือการกลัวความล้มเหลว
ก้าวย่างที่ 1: ฟังเสียงสะท้อน (แต่อย่าให้เสียงนั้นเข้ามาควบคุมจิตใจของเรา)
มีจิตใจที่ขอบคุณต่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ที่ใครคนนั้นยอมใช้เวลาของเขาที่พิจารณาการงานของเราแล้วแบ่งปันความคิดเห็นของเขาแก่เรา และเราคาดหวังว่าคำวิพากษ์ของเขาจะเป็นประโยชน์ต่อเรา
ถึงแม้ครั้งแรกเมื่อเราได้รับคำวิพากษ์มิได้รู้สึกเช่นนั้นก็ตาม
ครั้งแรกที่ผมเริ่มเขียนบทใคร่ครวญ และ
ข้อเขียนต่าง ๆ ลงในอินเตอร์เน็ท
ได้รับคำวิพากษ์จากคนใกล้ชิดถึงความผิดพลาดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งที่ผมเขียน
เช่น...
“สิ่งที่คุณเขียนความหมายกำกวม...”
“วันนี้มีที่สะกดผิด 5 ที่”
“ทำไมเขียนประโยคซ้ำซ้อน”
“คุณพิมพ์ตกอีกแล้ว”...
พอได้ยินความคิดเห็นและคำวิพากษ์เหล่านี้เป็นเหมือนถูกผึ้งต่อยเข้าที่หัวใจ แต่ที่เขาบอกมาถูกทั้งนั้น ครั้งแรกผมก็แก้ตัวในใจว่า ก็ผมเป็นคนที่สะกดผิด พิมพ์ตก ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว นี่ตรวจทานไปสองครั้งแล้วนะมันยังเกิดขึ้น
(...ช่วยไม่ได้...) แท้จริงแล้ว ผมมันใจร้อนครับ “รีบเขียนรีบส่ง” ต้องการให้มันขึ้นบนอินเตอร์เน็ทเร็ว ๆ และนี่คือสาเหตุที่เกิดการผิดพลาดตามคำวิพากษ์ ใช่สินะ
บทความข้อเขียนของเราก็ไม่ได้มาตรฐานที่คนเขาจะอ่านกัน เมื่อใจสงบแล้วก็เริ่มแก้ไขในสิ่งผิดพลาดตามคำวิพากษ์
ผมเริ่มตั้งกติกาสำหรับตนเอง เช่น
ทุกข้อเขียนเมื่อเขียนเสร็จจะทิ้งไปอย่างน้อย 1 วัน แล้วกลับมาอ่านตรวจทานแก้ไข
เพิ่มเติมอย่างน้อยอีก 3 รอบ
และก่อนที่ข้อเขียนนั้นจะถูกส่งขึ้นเน็ทจะอ่านตรวจทานอีก 2 รอบ
ต่อมาภายหลังข้อเขียนที่จะนำไปลงซ้ำในบล๊อกจะมีเพื่อนที่ไว้ใจได้ช่วยอ่านตรวจทานแล้วนำขึ้นบล๊อก
ผมได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาชิ้นงานที่ตนเองทำด้วยความรับผิดชอบ ผมเริ่มเรียนรู้ในการเขียนในการนำเสนอที่ค่อย ๆ
ชัดเจนขึ้น
และช่วยให้ผมพัฒนาในการมองสิ่งที่ติดลบให้เป็นแง่บวกที่เสริมสร้าง
ผมมีโอกาสพัฒนาศักยภาพที่มีอยู่ในตัวผมให้เป็นความสามารถที่สร้างสรรค์จนกลายเป็นทักษะติดตัว
ขอบคุณคนใกล้ชิดคนนั้นที่ชี้ความล้มเหลวของผมด้วยความกล้าหาญหวังดีและจริงใจ และผมได้เติบโตพัฒนาขึ้นในชีวิต
ก้าวย่างที่ 2: ยอมออกเหงื่อในสิ่งเล็กน้อย
เรามักได้ยินคำเตือนว่า
“อย่าไปเสียเหงื่อกับสิ่งเล็กสิ่งน้อย”
ซึ่งเป็นการเตือนให้เราทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยสมดุลภาพ ไม่จุกจิกหยุมหยิมในสิ่งที่เราทำ แต่คงไม่ใช่ในสถานการณ์นี้ เพราะการที่ไม่ใส่ใจในรายละเอียดมักทำให้งานของเราล้มเหลวหรือไปไม่ถึงเป้าหมาย เมื่อสิ่งนี้เกิดเพิ่มมากขึ้นจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทำให้เรามองข้ามสิ่งที่สำคัญ
และการมองข้ามบางสิ่งที่สำคัญนี้เองที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการทำงาน
และเมื่อเกิดความล้มเหลวในงานที่ทำซ้ำบ่อยขึ้น ย่อมเป็นการสร้างความกลัวต่อความล้มเหลว
ดังนั้น
การใส่ใจยอม “ออกเหงื่อ” ในสิ่งสำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม
อย่าสนใจเพียงเรื่องใหญ่ ๆ ที่เราผิดพลาด แต่ต้องใส่ใจในเรื่องเล็กน้อยด้วย
เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะสูงขึ้นในการทำงานของเรา เอาใจใส่ในรายละเอียด มุ่งมองที่จะพัฒนาการงานที่ทำ
และเราจะได้ประสบการณ์ความสำเร็จในงานที่เราทำ และเป็นการย้ำเตือนให้เราเรียนรู้และมั่นใจในความสำเร็จ มากกว่ากลัวความล้มเหลว
ก้าวย่างที่ 3: วิเคราะห์เจาะลึกลงในสิ่งที่เราผิดพลาด
เมื่อเราต้องพบกับความล้มเหลวผิดพลาดของเรา ให้เราค้นหาวิเคราะห์เจาะลึกสิ่งที่ล้มเหลวผิดพลาดนั้น ด้วยการถามคำถามดังนี้
- ทำไมฉันถึงผิดพลาดล้มเหลวครั้งนี้?
- ฉันทำผิดที่ตรงไหนบ้าง?
- ครั้งหน้า ฉันจะทำให้ดีกว่าครั้งนี้ได้อย่างไรบ้าง?
- ฉันจะขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง(ในสิ่งที่ฉันทำล้มเหลวผิดพลาด)?
ให้เราบันทึกความล้มเหลวผิดพลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้
พร้อมกับคำตอบและความคิดที่ได้จากการวิเคราะห์เจาะลึก
บางท่านอาจจะรู้สึกมีจิตใจที่ห่อเหี่ยวที่ต้องมาเขียนในสิ่งที่ตนเองผิดพลาดจนล้มเหลว
แต่การที่เราต้องเขียนสิ่งที่ล้มเหลวที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์ถึงความผิดพลาดต่าง ๆ ที่ได้ทำลงไปจะช่วยทำให้เราเห็น
“ความล้มเหลว” ดังกล่าวชัดเจนและอย่างเป็นระบบ
จะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดความล้มเหลว
และจะป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำอีกในครั้งหน้าได้อย่างไร
และนี่คือการวางรากฐานที่มั่นคงไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคต
อย่ากล่าวโทษตนเองในสิ่งที่ตนกระทำผิด เพราะการกระทำผิดและความล้มเหลวเป็นส่วนที่มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาและความก้าวหน้าในชีวิตของเรา
แต่เราสามารถหลีกเลี่ยงความล้มเหลวและการกระทำผิดซ้ำในเรื่องเดิมได้ ถ้าเราใส่ใจและวิเคราะห์เจาะลึกในสิ่งที่ผิดพลาดให้กลายเป็นการเรียนรู้ใหม่ของเรา
แล้วนำสิ่งที่เรียนรู้ลงสู่การจัดการความล้มเหลวและความผิดพลาดดังกล่าว
เพื่อเราจะหลอมความผิดพลาดแล้วหล่อให้เป็นความก้าวหน้า และ สำเร็จต่อไป
วิเคราะห์เจาะลึกความล้มเหลว เรียนรู้และเข้าใจความล้มเหลว ไม่กระทำซ้ำแต่ก้าวไปในทางใหม่สู่ความสำเร็จ
ก้าวย่างที่ 4: ลงสนามแล้วลองใหม่อีกครั้งหนึ่ง
James Johnson กล่าวว่า
“ตัวชี้วัดความสำเร็จของคุณ มิใช่วัดจากจำนวนครั้งที่คุณตกจากหลังม้า แต่อยู่ที่เมื่อคุณตกจากหลังม้าแต่ยังลุกขึ้นแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าใหม่อีกกี่ครั้งต่างหาก”
เมื่อเราล้มเหลวอย่างมีประสิทธิภาพและได้เรียนรู้ในสิ่งใหม่ แล้วหักหาญทดลองทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง ไม่ยอมให้ความล้มเหลวของเรามาฉุดลากเราให้นอนอยู่บนพื้น แต่ลุกขึ้น
ประยุกต์สิ่งที่เรียนรู้ แล้วทดลองใหม่อีกครั้งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงวิธีการอีกครั้งหนึ่ง แล้วลุกขึ้นก้าวออกไปสนามแล้วรับมือกับมันใหม่
แต่ด้วยความรู้และความเข้าใจที่เยี่ยมกว่าครั้งก่อน
Denis Waitley เคยกล่าวไว้ว่า “จงให้ความล้มเหลวเป็นครูของเรา แต่อย่าให้มันเป็นสัปเหร่อมาฝังเรา
ความล้มเหลวอาจทำให้เราใช้เวลามากขึ้นแต่มิใช่ทำให้เราปราชัย ความล้มเหลวเป็นเหมือนทางเบี่ยง(ที่ใช้ชั่วคราว) แต่มิใช่ทางตัน...”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น