คงต้องยอมรับความจริงว่า
การทำพันธกิจในคริสตจักรและองค์กรคริสเตียนก็เต็มไปด้วยความเครียดเฉกเช่นกับการทำงานอื่น
ๆ เราเครียดกับทั้งเรื่องของคน งบประมาณ
หรือความขัดแย้งของคนที่ทำงานพันธกิจด้วยกัน
บ่อยครั้งที่เราพบกับประเด็นความกดดันทำให้ความดันของคนทำงานพันธกิจสูงกระฉูดก็เคยปรากฏมาแล้ว
แต่ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เกี่ยวกับการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์ เราก็พบและประเมินได้ว่า
การทำพันธกิจของพระองค์ตกอยู่ท่ามกลางความกดดันจากทั้งผู้นำศาสนาและประชาชนที่มีความต้องการสูง ตลอดจนถึงผู้นำศาสนายิวที่คอยจับผิดพระองค์ หาทางทำให้ประชาชนเข้าใจพระเยซูอย่างผิด
ๆ
และหาทางวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ในทางที่เสียหายหรือดูหมิ่น พระองค์อยู่ท่ามกลางวิกฤติที่ทำให้พระองค์ต้องเครียดไม่ต่างจากเราเลย
แต่ว่า พระองค์ทำอย่างไรในการรับมือกับความเครียด? พระองค์จัดการกับวิกฤติลักษณะต่าง
ๆ เข้ามาอย่างไร
ที่ไม่ให้มีอิทธิพลสร้างความเครียดในชีวิตจิตใจของพระองค์? ยิ่งกว่านั้น
อะไรที่ทำให้พระองค์กลับไม่ถูกกดดันและไม่ทำให้พระองค์ต้องสิ้นหวัง?
พระองค์ทรงจัดการอย่างไรในชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความกดดันให้มีความสงบศานติ?
1.
พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์คือใคร “เราเป็นความสว่างของโลก
คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12 มตฐ.)
พระองค์รู้ว่าพระองค์คือใคร
ตลอดพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่
พระองค์บอกว่า “เราเป็น...” ถึง
18 ครั้งพร้อมกับคำอธิบายที่ชัดเจน
พระองค์ได้อธิบายให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์คือใคร เพราะการที่พระองค์รู้เท่าทันตนเองว่า ตนเองคือใครนี่เอง
ที่ทำให้พระองค์ไม่ตกลงในกับดักแห่งความเครียดวิตก
หลายครั้งมิใช่หรือ
ที่เราพยายามทำตนให้เป็นเหมือนใครบางคนที่เป็นต้นแบบชีวิต หรือ
ลักษณะที่เราอยากเป็นเหมือนเขา เราสวมหน้ากาก
เมื่อเราพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนใครบางคนเราก็จะกลัวว่าเราไม่สามารถที่จะทำตัวได้เหมือนและรักษาความลับดังกล่าวของเรา การที่เรามิได้ดำเนินชีวิตที่เป็นตัวของเราเอง
ในตัวเราก็จะมีสองบุคลิกลักษณะในคนเดียวกัน ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเราเองทำให้เกิดความเครียดภายในลึก
ๆ แห่งชีวิตของเรา
แท้จริงแล้วเราต้องรู้เท่าทันว่า
พระเจ้าสร้างเราด้วยประสงค์ให้เราเป็นคนลักษณะใด เพราะการที่เราค้นพบและรู้เท่าทันว่าเราคือใคร เราก็จะรู้ด้วยว่าเราเป็นคนของใครด้วย
2.
รู้เท่าทันว่าเราดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอใจของใคร
พระเยซูคริสต์บอกว่า “เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ ...
เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา...”
(ยอห์น 5:30 มตฐ.)
พระเยซูคริสต์ได้อุทิศชีวิตทั้งหมดกระทำให้เป็นพอพระทัยของพระเจ้า มิใช่ตามใจปรารถนาของตนเอง และก็ไม่ใช่ทำตนให้เป็นที่พอใจชื่นชอบ
เป็นที่นิยมของประชาชนที่ติดตามพระองค์
เพราะสำหรับพระเยซูคริสต์แล้วพระประสงค์ของพระเจ้าคือเป้าหมายที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตของพระองค์ และในเหตุการณ์ของการจำแลงพระกายของพระคริสต์ มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” (ลูกา 9:35; 1971)
พระเยซูไม่เลือกวิธีการแบบประชานิยม คือทำให้พอใจประชาชน และในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ด้วย เพราะเราอาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งพอใจ แต่คนอีกหลายกลุ่มอาจจะไม่พอใจ แต่เมื่อเราไม่ทำตามใจปรารถนาของคนกลุ่มต่าง
ๆ คนเหล่านั้นย่อมวิพากษ์ วิจารณ์
และกล่าวร้ายป้ายสีเราอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่การที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร เราเป็นคนของใคร และเป้าหมายเราทำให้ใครพอใจแล้ว
เราก็จะสามารถปกป้องจัดการให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีให้ร้ายเหล่านั้น
สิ่งร้ายเหล่านั้นไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของเราได้
เราต้องชัดเจนและมั่นใจว่า เราเป็นคนของพระเจ้า
พระประสงค์ของพระองค์องค์คือเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเรา ผู้คน และ สถานการณ์แวดล้อมจึงไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของเรา
3.
รู้เท่าทันว่า อะไรคือความสำเร็จที่จะต้องกระทำในชีวิตของตน
พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ...”
(ยอห์น 4:34 มตฐ.)
พระเยซูคริสต์ทรงรู้เท่าทันอย่างชัดเจนว่า การเข้ามาในโลกนี้ของพระองค์
เพื่อที่จะมาทำพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จ เช่นกัน ในการดำเนินชีวิตและการทำงานของเรา
เราต้องรู้ชัดเจนว่า
อะไรคือเป้าหมายรากฐานในชีวิตของเราที่เราจะต้องกระทำให้สำเร็จ
บ่อยครั้ง
ความเครียดของเราเกิดจากการดำเนินชีวิต และ การทำงานพันธกิจของเราไร้เป้าหมายชัดเจน
เราจะต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิตและทำงานพันธกิจตามเป้าหมาย หรือ
ตามความกดดันที่จะเกิดขึ้น
ถ้าเราไม่ตัดสินใจว่าสิ่งใดสำคัญที่เราจะต้องทำให้สำเร็จแล้ว คนอื่นรอบข้างจะตัดสินใจให้กับเรา
การที่เรามีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน ช่วยให้เรามีแผนชีวิตที่ชัดเจนได้ด้วย
และการที่เรามีแผนชีวิตที่ชัดเจนก็ช่วยป้องกันให้เราไม่ตกอยู่ใต้อำนาจบีบบังคับของความเร่งรีบได้ด้วยเช่นกัน เราท่านคงไม่ต้องการที่จะสับสนงุนงงว่า
เอ...วันนี้เรามีชีวิตที่ประสบความสำเร็จหรือไม่ มีสิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีคุณค่าและความหมาย
การที่เราทำงานมากมายยุ่งอยู่ตลอดวันไม่ได้ประกันว่า
เราได้ทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมีคุณค่า
แต่อาจจะเป็นเหมือนหนูวิ่งปั้นจั่นตลอดวันจนเหนื่อยก็ได้ หรือแค่ได้ทำอะไรบางอย่างเท่านั้น
การมีเป้าหมายในชีวิตและการงานที่ชัดเจนช่วยลดความซับซ้อนสับสนใจชีวิตของเรา
และลดความเครียดที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น