30 กันยายน 2557

รู้เท่าทันความเครียดจากชีวิตและการงาน

คงต้องยอมรับความจริงว่า   การทำพันธกิจในคริสตจักรและองค์กรคริสเตียนก็เต็มไปด้วยความเครียดเฉกเช่นกับการทำงานอื่น ๆ เราเครียดกับทั้งเรื่องของคน  งบประมาณ  หรือความขัดแย้งของคนที่ทำงานพันธกิจด้วยกัน   บ่อยครั้งที่เราพบกับประเด็นความกดดันทำให้ความดันของคนทำงานพันธกิจสูงกระฉูดก็เคยปรากฏมาแล้ว

แต่ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เกี่ยวกับการทำพันธกิจของพระเยซูคริสต์   เราก็พบและประเมินได้ว่า   การทำพันธกิจของพระองค์ตกอยู่ท่ามกลางความกดดันจากทั้งผู้นำศาสนาและประชาชนที่มีความต้องการสูง   ตลอดจนถึงผู้นำศาสนายิวที่คอยจับผิดพระองค์   หาทางทำให้ประชาชนเข้าใจพระเยซูอย่างผิด ๆ  และหาทางวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ในทางที่เสียหายหรือดูหมิ่น   พระองค์อยู่ท่ามกลางวิกฤติที่ทำให้พระองค์ต้องเครียดไม่ต่างจากเราเลย

แต่ว่า   พระองค์ทำอย่างไรในการรับมือกับความเครียด?   พระองค์จัดการกับวิกฤติลักษณะต่าง ๆ เข้ามาอย่างไร  ที่ไม่ให้มีอิทธิพลสร้างความเครียดในชีวิตจิตใจของพระองค์?   ยิ่งกว่านั้น อะไรที่ทำให้พระองค์กลับไม่ถูกกดดันและไม่ทำให้พระองค์ต้องสิ้นหวัง?

พระองค์ทรงจัดการอย่างไรในชีวิตที่อยู่ท่ามกลางความกดดันให้มีความสงบศานติ?

1. พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์คือใคร เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12 มตฐ.)   พระองค์รู้ว่าพระองค์คือใคร   ตลอดพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่  พระองค์บอกว่า เราเป็น...ถึง 18 ครั้งพร้อมกับคำอธิบายที่ชัดเจน   พระองค์ได้อธิบายให้ผู้คนรู้ว่าพระองค์คือใคร   เพราะการที่พระองค์รู้เท่าทันตนเองว่า   ตนเองคือใครนี่เอง  ที่ทำให้พระองค์ไม่ตกลงในกับดักแห่งความเครียดวิตก

หลายครั้งมิใช่หรือ  ที่เราพยายามทำตนให้เป็นเหมือนใครบางคนที่เป็นต้นแบบชีวิต หรือ ลักษณะที่เราอยากเป็นเหมือนเขา   เราสวมหน้ากาก   เมื่อเราพยายามทำตัวให้เป็นเหมือนใครบางคนเราก็จะกลัวว่าเราไม่สามารถที่จะทำตัวได้เหมือนและรักษาความลับดังกล่าวของเรา   การที่เรามิได้ดำเนินชีวิตที่เป็นตัวของเราเอง   ในตัวเราก็จะมีสองบุคลิกลักษณะในคนเดียวกัน   ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวเราเองทำให้เกิดความเครียดภายในลึก ๆ แห่งชีวิตของเรา   แท้จริงแล้วเราต้องรู้เท่าทันว่า   พระเจ้าสร้างเราด้วยประสงค์ให้เราเป็นคนลักษณะใด   เพราะการที่เราค้นพบและรู้เท่าทันว่าเราคือใคร   เราก็จะรู้ด้วยว่าเราเป็นคนของใครด้วย

2. รู้เท่าทันว่าเราดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอใจของใคร  พระเยซูคริสต์บอกว่า เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ ... เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา...” (ยอห์น 5:30 มตฐ.) พระเยซูคริสต์ได้อุทิศชีวิตทั้งหมดกระทำให้เป็นพอพระทัยของพระเจ้า   มิใช่ตามใจปรารถนาของตนเอง   และก็ไม่ใช่ทำตนให้เป็นที่พอใจชื่นชอบ เป็นที่นิยมของประชาชนที่ติดตามพระองค์   เพราะสำหรับพระเยซูคริสต์แล้วพระประสงค์ของพระเจ้าคือเป้าหมายที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตของพระองค์   และในเหตุการณ์ของการจำแลงพระกายของพระคริสต์   มีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า ผู้นี้เป็นบุตรของเรา เป็นผู้ถูกเลือกสรรไว้ จงเชื่อฟังท่านเถิด” (ลูกา 9:351971)

พระเยซูไม่เลือกวิธีการแบบประชานิยม   คือทำให้พอใจประชาชน   และในความเป็นจริงก็ทำไม่ได้ด้วย   เพราะเราอาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งพอใจ   แต่คนอีกหลายกลุ่มอาจจะไม่พอใจ   แต่เมื่อเราไม่ทำตามใจปรารถนาของคนกลุ่มต่าง ๆ   คนเหล่านั้นย่อมวิพากษ์ วิจารณ์  และกล่าวร้ายป้ายสีเราอย่างยากที่จะหลีกเลี่ยง   แต่การที่เรารู้ว่าเราเป็นใคร   เราเป็นคนของใคร  และเป้าหมายเราทำให้ใครพอใจแล้ว   เราก็จะสามารถปกป้องจัดการให้เราไม่ตกเป็นเหยื่อของการโจมตีให้ร้ายเหล่านั้น   สิ่งร้ายเหล่านั้นไม่สามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของเราได้

เราต้องชัดเจนและมั่นใจว่า   เราเป็นคนของพระเจ้า   พระประสงค์ของพระองค์องค์คือเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของเรา  ผู้คน และ สถานการณ์แวดล้อมจึงไม่สามารถมีอิทธิพลเหนือชีวิตจิตใจของเรา

3. รู้เท่าทันว่า อะไรคือความสำเร็จที่จะต้องกระทำในชีวิตของตน พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ...” (ยอห์น 4:34 มตฐ.)   พระเยซูคริสต์ทรงรู้เท่าทันอย่างชัดเจนว่า   การเข้ามาในโลกนี้ของพระองค์   เพื่อที่จะมาทำพระประสงค์ของพระเจ้าให้สำเร็จ   เช่นกัน ในการดำเนินชีวิตและการทำงานของเรา เราต้องรู้ชัดเจนว่า อะไรคือเป้าหมายรากฐานในชีวิตของเราที่เราจะต้องกระทำให้สำเร็จ

บ่อยครั้ง ความเครียดของเราเกิดจากการดำเนินชีวิต และ การทำงานพันธกิจของเราไร้เป้าหมายชัดเจน   เราจะต้องตัดสินใจเลือกว่าเราจะดำเนินชีวิตและทำงานพันธกิจตามเป้าหมาย หรือ ตามความกดดันที่จะเกิดขึ้น   ถ้าเราไม่ตัดสินใจว่าสิ่งใดสำคัญที่เราจะต้องทำให้สำเร็จแล้ว   คนอื่นรอบข้างจะตัดสินใจให้กับเรา

การที่เรามีเป้าหมายชีวิตที่ชัดเจน   ช่วยให้เรามีแผนชีวิตที่ชัดเจนได้ด้วย   และการที่เรามีแผนชีวิตที่ชัดเจนก็ช่วยป้องกันให้เราไม่ตกอยู่ใต้อำนาจบีบบังคับของความเร่งรีบได้ด้วยเช่นกัน   เราท่านคงไม่ต้องการที่จะสับสนงุนงงว่า   เอ...วันนี้เรามีชีวิตที่ประสบความสำเร็จหรือไม่   มีสิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกว่ามีคุณค่าและความหมาย   การที่เราทำงานมากมายยุ่งอยู่ตลอดวันไม่ได้ประกันว่า เราได้ทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมีคุณค่า   แต่อาจจะเป็นเหมือนหนูวิ่งปั้นจั่นตลอดวันจนเหนื่อยก็ได้   หรือแค่ได้ทำอะไรบางอย่างเท่านั้น

การมีเป้าหมายในชีวิตและการงานที่ชัดเจนช่วยลดความซับซ้อนสับสนใจชีวิตของเรา   และลดความเครียดที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตของเราด้วย

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น