ข้อเขียนนี้เป็นตอนที่สอง
ในตอนที่หนึ่ง เป็นการเจาะลงในความจริงชีวิตที่ยุคสมัยลูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากสังคมในสมัยพ่อแม่ เราได้พิจารณาถึงการที่ลูกของเราเดินออกนอกแผนที่ชีวิตและความเชื่อที่พ่อแม่เคยมีประสบการณ์ และคาดหวังที่จะให้ลูก ๆ เดินตามแผนที่ฉบับเดิมนั้น เราพบความจริงว่าลูก ๆ ต้องการแผนที่ชีวิตและความเชื่อฉบับใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของเขา
พ่อแม่คริสตชนทุกข์ใจว่า ตนจะรับมือและจัดการอย่างไรกับลูก ๆ ที่ไม่ยอมเดินตามแผนที่ชีวิตและความเชื่อที่ตนมีอยู่
และพ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าแผนที่ฉบับใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตของลูก ๆ มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร? ในภาวะเช่นนี้จะทำอย่างไรดี?
ผมได้อ่านข้อเขียนชิ้นหนึ่ง ที่คุณแม่อดทนใกล้ชิดลูกที่ทิ้งความเชื่อที่พ่อแม่เคยมี แต่คุณแม่กลับอยู่เคียงข้างลูก
รักเขาอย่างไร้เงื่อนไข เมื่ออ่านบทความนี้ได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์คุณแม่คนนี้ได้ว่า ถ้าลูกของเราเลิกที่จะเชื่อ หรือ ทิ้งความเชื่อดั้งเดิมที่เรามี พ่อแม่มีแนวทางปฏิบัติ 12 ประการครับ
- เราจะไม่มีวันหยุดอธิษฐานเพื่อลูก เพราะการอธิษฐานคือพลังที่ยิ่งใหญ่
และเป็นสิ่งที่เราสามารถกระทำได้ตลอดเวลา
- เราจะหายใจลึก ๆ แล้วพึ่งพาความเชื่อศรัทธา และไว้วางใจพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพของเรา
และวางใจในพระราชกิจที่พระองค์จะกระทำในชีวิตลูก ๆ ของเรา และ เฝ้าคอยดูพระราชกิจของพระเจ้าในชีวิตของลูกแต่ละวัน
- เราจะไม่หยุดที่จะรักลูก และพยายามที่จะมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างถึงความรักเมตตาที่ไม่มีเงื่อนไขของพระคริสต์สำหรับพวกเขา
- เราจะฟังลูก ๆ ตลอดเวลาไม่หยุดยั้ง (แม้บางครั้งคำพูดของเขาดูจะรุนแรงหรือก้าวร้าวกับเรา) เราจะรักษาและเปิดช่องทางสื่อสารระหว่างเรากับลูกไว้เสมอ เราจะสื่อสารกับลูกด้วยความสัตย์ซื่อ จริงใจ
และ ด้วยความนับถือ
เราพยายามแสวงหาความเข้าใจในตัวลูก
และเราจะถามคำถามที่จะช่วยให้ลูกขุดลึกค้นพบตนเองและความจริง และจะเสนอความจริงด้วยใจรักแทนที่จะถกเถียงความจริงกัน
- เราตระหนักรู้ว่าลูก ๆ
ของเราไม่สามารถจะมีความเชื่อศรัทธาเพราะสืบทอดมรดกความเชื่อจากเราผู้เป็นพ่อแม่ได้ แต่เราจะต้องช่วยเขาให้ก่อนร่างหยั่งรากความเชื่อของเขาเอง
และนี่จึงไม่แปลกที่บางครั้งลูกสงสัยในสิ่งที่เราเชื่อศรัทธา เกิดคำถาม
หรือ ไม่เดินตามบนเส้นทางความเชื่อแบบพ่อแม่ แต่ลูกบางคนก็เอาจริงเอาจังร้อนรนบนเส้นทางความเชื่อนั้น เพราะสำหรับเยาวชน
นี่คือเส้นทางชีวิตที่เขาจะเรียนรู้ความจริงว่าเขาต้องการพระคริสต์ด้วยชีวิตของเขาเอง
และยอมรับพระคริสต์เข้าในชีวิตของตนด้วยการตัดสินในของเขาเอง ไม่ใช่ด้วยพ่อแม่ และคริสเตียนศึกษาที่สอนเขาในชั้นเรียน
- เราในฐานะพ่อแม่ให้เราแบ่งปันประสบการณ์เรื่องราวการเผชิญหน้ากับความเชื่อ
และประสบการณ์ที่ล้มลุกคลุกคลานในความเชื่อของเราแก่ลูก ๆ เช่น ในช่วงเวลาที่เราสงสัยในสิ่งที่เชื่อ และ ทำไมเราถึงตัดสินใจและมีความเชื่ออย่างที่เราเป็นอยู่ในทุกวันนี้
- เราบอกให้ลูก ๆ รู้ว่าเราอธิษฐานเผื่อพวกเขา และบอกลูก ๆ ว่าเราเห็นว่าพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตและสถานการณ์ที่ลูก
ๆ เผชิญอยู่อย่างไร
พระเจ้ายังอยู่เคียงข้างเขาเสมอในทุกสถานการณ์ชีวิตของเขา และพระเจ้ายังคงรักเมตตาพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงแม้ตอนนี้ลูกจะไม่เชื่อในพระองค์ก็ตาม
- เราจะไม่ท้อถอย และเราจะไม่บีบบังคับลูก เราหาหนทางที่จะช่วยลูก ๆ ที่จะมีโอกาสสัมพันธ์กับบางคนที่มีความเชื่อที่เข้มแข็งในพื้นที่ที่ลูกอาศัย
หรือ ทำงานอยู่ และถ้าบางคำถามของลูก ๆ ที่เราในฐานะพ่อแม่ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
พยายามเชื่อมให้ลูกไปพบกับบางคนที่เรารู้ว่าเขาสามารถอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจได้ เราให้กำลังใจแก่ลูก ๆ ที่จะหาโอกาสที่เขาจะสามารถบริการรับใช้คนรอบข้างใกล้เคียงในชีวิตประจำวันของเขา เพื่อว่าความรักเมตตาของพระคริสต์จะซึมซับเข้าในจิตใจของลูก เราจะแนะนำหรือกระตุ้นเชิญชวนให้ลูกไปโบสถ์ แต่เราจะไม่ใช้วิธีบังคับขู่เข็ญ ต่อว่า ดุด่า ตำหนิที่ลูกไม่ไปโบสถ์ หรือ สร้างเงื่อนไข
ผลประโยชน์ต่อรองให้ลูกไปโบสถ์ หรือถึงขั้นลงโทษถ้าเขายังไม่ไปโบสถ์ ให้เราเปิดหน้าต่างแห่งโอกาสไว้เสมอ
- เราต้องตระหนักรู้ว่า
การที่ลูกไม่เชื่อพระเจ้ามิใช่ความล้มเหลวในการเป็นพ่อแม่ พระเจ้าประทานของประทานความสามารถต่าง
ๆ แก่เราอย่างมีพระประสงค์
และการที่ลูกบางคนเดินออกนอกเส้นทางความเชื่อที่เรามีอยู่ใช่เป็นการสะท้อนถึงอัตลักษณ์ความเชื่อของพ่อแม่
- เรายอมรับความจริงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความจริงในวันพรุ่งนี้ และเรารู้ความจริงว่า
การเลี้ยงดูลูก ๆ และ
การฟูมฟักความเชื่อศรัทธาของเขาเป็นเรื่องที่พัฒนาไปตลอดชีวิต
ที่เรายังไม่สามารถตัดสินลงไปว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้เป็นสิ่งจริงที่เป็นเช่นนี้ตลอดไปในชีวิตของลูก
- เรายังยืนหยัดมั่นคงอย่างเข้มแข็งและชื่นชมยินดีในความเชื่อศรัทธาของเรา ติดตามและขุดลึกลงในความสัมพันธ์กับพระคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน แสวงหาความจริงจากพระวจนะ และยอมรับคุณค่าของเราในฐานะลูกที่รักของพระเจ้าคนหนึ่ง และสำนึกถึงพระคุณของพระองค์ที่มีอยู่ในชีวิตของเราตลอดเวลา
- ให้เราภาวนาอธิษฐานให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นเสียงที่มีพลานุภาพในเมื่อเราไม่สามารถพูดด้วยคำพูดของเรา
ทั้งสิ้นนี้ ยืนอยู่บนรากฐานความเชื่อของพ่อแม่ว่า
ความเชื่อศรัทธางอกงามและเข้มแข็งเมื่อชีวิตประจำวันของลูกมีโอกาสเผชิญหน้ากับพระเจ้า
และประสบการณ์ในชีวิตช่วงนั้นเองที่เขามีประสบการณ์ตรงกับพระองค์เป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงเสริมสร้างประทานความเชื่อแก่ลูกให้เกิดขึ้น จนเป็นความเชื่อที่ลูกตัดสินใจที่จะวางใจถวายชีวิตแด่พระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com; 081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น