22 มกราคม 2561

มองพระคริสต์...บนเส้นทางชีวิตที่ตกเป็นเหยื่อ

วันนี้ผมขอนำเรื่องจริงที่เกิดขึ้น(ในต่างแดน)ที่เป็นสัจจะชีวิตสาวกพระคริสต์ มาเล่าสู่กันฟัง  

ผู้เขียนชื่อ พอล มิลเลอร์ และ ภรรยาชื่อ จิลล์  จะพาลูกที่พิการไปร่วมในค่ายครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากลูกที่พิการทุกปี  ในค่ายนั้นจะมีอาสาสมัครที่จ่ายค่าใช้จ่ายในการมาอาสาสมัครที่ค่ายเอง   หลายคนได้ลางานประจำเพื่อมารับใช้เด็กและพ่อแม่ที่มาในค่ายนั้น   จิลล์ชอบมาร่วมในค่ายนี้ เพราะรู้สึกว่าตนได้รับการชูใจและจิตวิญญาณกับคนที่มีความเข้าอกเข้าใจสภาวะชีวิตของเธอ

เมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว จิลล์ รู้จักกับอาสาสมัครที่ชื่อว่า เคย์ลา สนิทเป็นเพื่อนกัน   วันรุ่งขึ้น เคย์ลา ต้องประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายจากในค่าย   เธอถูกผู้อำนวยการค่ายเรียกไปพบ  และพูดคุยถึงคุณแม่คนหนึ่งมาฟ้องว่า  เขาได้ยิน เคย์ลา พูดถึงสิ่งไม่ดีในการเลี้ยงลูกของเขา   เคย์ลา เองคิดไม่ออกเลยว่า เธอได้พูดอะไร เมื่อไหร่ ที่เป็นการกล่าวร้ายกับคุณแม่ท่านนั้น   และปรากฏว่า  ต่อมาอาสาสมัครหลายคนก็ประสบกับเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้   ผู้อำนวยการค่ายพยายามรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างระมัดระวัง และอย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้   อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้กลายเป็นฝันร้ายที่เจ็บปวด คอยตามหลอน เคย์ลา ตลอดเวลาในช่วงนั้น

วันต่อมา เคย์ลา มาหาจิลล์ และ ผู้เขียนด้วยอาการใจเหม่อลอย  วอกแวก   เธอบอกว่าเธอไม่สามารถที่จะขอโทษในสิ่งที่เธอคิดไม่ออกเลยว่าเป็นสิ่งผิดเลวร้ายที่เธอได้ทำลงไป   เป็นการยากอย่างมากที่เธอจะอาสาสมัครรับใช้ในค่ายนี้อย่างมีความสุขชื่นบาน    ในเมื่อยังมี “ฝันร้าย” ที่ตามหลอนเธออยู่ตลอดเวลา   เคย์ลารู้สึกว่า พันธกิจชีวิตที่เธอรับใช้กำลังจะล้มครืนจบสิ้น แต่ผู้เขียนกลับมองเห็นว่า  สถานการณ์นี้กำลังขับเคลื่อนชีวิตการรับใช้ของ เคย์ลาสูงขึ้นไปในระดับใหม่  

ผู้เขียนกล่าวกับ จิลล์ ว่า “ก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น  คุณได้ทำในสิ่งที่ดีมาก  คุณให้เวลา และ สละเงินทองส่วนตัวเพื่อคนอื่น  คุณได้รับคำขอบคุณ  และ มีความชื่นชมยินดีที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น   แต่ตอนนี้  แทนที่คุณจะได้รับการยกย่องนับถือ  คุณกลับได้รับความอับอายขายหน้าเป็นการตอบแทน   แทนที่คุณจะได้รับคำขอบคุณ  แต่คุณกลับได้รับความเข้าใจผิด หรือ อาจจะถึงขั้นถูกใส่ร้ายป้ายสีก็อาจจะเป็นไปได้   นี่เป็นสิ่งที่น่าสังเวชใจ   เป็นเส้นทางชีวิตที่ทนทุกข์   และก็มีผู้หนึ่งที่เดินบนเส้นทางชีวิตนี้คือพระเยซู   คุณกำลังเข้าไปมีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระคริสต์”

ปักหัวดิ่งลงเพื่อทะยานขึ้นสูง

คำสอนของเปาโล ในจดหมายฉบับต่าง ๆ เปาโลมองว่า  วิถีชีวิตของพระคริสต์นั้นปักหัวดิ่งลงไปสู่ความตาย ก่อนที่พระองค์จะทะยานขึ้นสู่การเป็นขึ้นใหม่   อย่างไรก็ตาม เรามักลืมคำสอนของเปาโลที่กล่าวถึงวิถีชีวิตสาวกพระคริสต์ที่สำแดงออกถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ทุกเมื่อเชื่อวัน  ที่สำแดงถึงชีวิตที่ยอมตายและการเป็นขึ้นและมีชีวิตใหม่ในชีวิตประจำวัน  (ดู ฟิลิปปี 1:29; 2:5-9 “พระเจ้า...ไม่​ใช่​ให้​ท่าน​ทั้ง​หลาย​เชื่อ​ใน​พระ​องค์​เท่า​นั้น แต่​ให้​ทน​ทุกข์​ยาก​เพราะ​เห็น​แก่​พระ​องค์​ด้วย” (1:29 มตฐ.)    “จง​มี​จิต​ใจ​...เหมือน​อย่าง​ที่​มี​ใน​พระ​เยซู​คริสต์   ผู้​ทรง​สภาพ​เป็น​พระ​เจ้า ไม่​ทรง​ถือ​ว่า​ความ​ทัด​เทียม​กับ​พระ​เจ้า​เป็น​สิ่ง​ที่​จะ​ต้อง​ยึด​ไว้   แต่​ทรง​สละ​พระ​องค์​เอง​และ​ทรง​รับ​สภาพ​ทาส ... พระ​องค์​ทรง​ถ่อม​พระ​องค์​ลง ทรง​ยอม​เชื่อ​ฟัง​จน​ถึง​ความ​มร​ณา กระ​ทั่ง​มร​ณา​บน​กาง​เขน   เพราะ​ฉะนั้น​พระ​เจ้า​จึง​ทรง​ยก​พระ​องค์​ขึ้น​สูง​สุด...” (2:5-9 มตฐ.)

เปาโลพูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ข้าพ​เจ้า​ต้อง​การ​จะ​รู้​จัก​พระ​องค์ คือ​รู้​จัก​ฤทธิ์​เดช​แห่ง​การ​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระ​องค์​และ​รู้จัก​การ​มีส่วน​ร่วม​ใน​ความ​ทุกข์​ของ​พระ​องค์ และ​เป็น​เหมือน​กับ​พระ​องค์​ใน​ความ​ตาย​นั้น”  (3:10 มตฐ.)  จากนั้นเปาโลเดินทางด้วยความหวังจากเยรูซาเล็มไปกรุงโรม   เพื่อมีประสบการณ์ในความตายของพระคริสต์ในการถูกทำร้ายทรมานรูปแบบต่าง ๆ แต่ประสบการณ์ของเปาโลมิใช่เพียงชีวิตที่ดิ่งลงสู่ความตายเท่านั้น   แต่ยังเป็นประสบการณ์ที่ทะยานขึ้นสูงเป็นชีวิตก้าวไปอีกระดับหนึ่ง เป็นชีวิตที่เหนือความตาย เปาโลเข้ามีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายกับพระคริสต์ในชีวิตประจำวันที่จาริกไปบนเส้นทางชีวิตของพระคริสต์

จากเหยื่อสู่ผู้มีชัย

ชีวิตที่ เคย์ลา กำลังเผชิญในเวลานั้นก็เป็นชีวิตที่ “ปักหัวดิ่งลงสู่ต่ำสุด”   เคย์ลารับใช้ผู้คนด้วยจิตใจที่ถ่อม เธอสูญเสียอำน่าจ   และชีวิตในช่วงเวลานั้นเองที่เธอเริ่มเข้าใจว่า  ชีวิตที่เข้าไปสู่วิถีแห่งพระกิตติคุณของพระคริสต์นั้นเป็นเช่นไร   ชีวิตของการเป็นสาวกพระคริสต์นั้นมีรสชาติอย่างไร   บนเส้นทางชีวิตสาวกพระคริสต์ที่ปักหัวดิ่งลงต่ำสุดนั้น   เป็นการนำชีวิตของเธอเข้าสู่แกนกลางแห่งชีวิตสาวกพระคริสต์คือ “มีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระองค์และความตายของพระคริสต์” (3:10) สถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆในค่ายสัปดาห์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบสิ้นเชิง   เรื่องราวชีวิตของ เคย์ลา ในตอนนั้นเปลี่ยนไปคนละเรื่อง   เธอไม่ได้ดำเนินชีวิตของเธอเอง   แต่เธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวชีวิตของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันในช่วงเวลานั้น

ตอนนี้ คุณแม่ที่เคยกล่าวหา เคย์ลา ไม่ใช่คนที่ทำให้ชีวิตของเคย์ลาต้องปั่นป่วนอีกต่อไป   แต่เคย์ลาได้นำคุณแม่คนนั้นเข้าถึงพระคริสต์   เคย์ลา เปลี่ยนจุดมุ่งมองถึงสิ่งที่คุณแม่คนนั้นทำต่อเธอช่วงเวลาที่ผ่านมา   กลับมุ่งมั่นมองไปที่สิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำแก่คุณแม่คนนั้นในอนาคต   เคย์ลาน้อมรับความทุกข์ยากเจ็บปวดอย่างพระคริสต์  และยังคงทุ่มเทรับใช้คนอื่นด้วยความชื่นชมยินดีตลอดสัปดาห์นั้นในค่าย

เมื่อเราตั้งใจร่วมอารมณ์ทนทุกข์และยอมตายเหมือนพระคริสต์   ทั้ง ๆ ที่ทำให้เรามัวหมองเสียชื่อเสียง  และดูเหมือนว่าเป็นการยินยอมทนความทุกข์ยากลำบากอย่างไร้เป้าหมาย   เราก็จะมีโอกาสร่วมทะยานขึ้นสู่ชีวิตใหม่   มองสิ่งเลวร้ายในชีวิตด้วยสายตาเชิงบวกแบบพระคริสต์   มองสถานการณ์เลวร้ายกลับกลายเป็นพันธกิจ   เมื่อเคย์ลาเริ่มเปลี่ยนมุมมองจากสิ่งเลวร้ายที่ผู้อื่นกระทำกับตน  ไปเป็นมุมมองใช้ชีวิตประจำวันสำแดงพระคริสต์ผ่านการทนทุกข์ของเธอ   เคย์ลา ก้าวออกจากการเป็นเหยื่อไปสู่ผู้มีชัย

เคย์ลา อาจจะไม่รู้ว่า เมื่อไหร่ที่จะถึงช่วงเวลาที่ชีวิตของเธอจะเข้าสู่ช่วงเวลาของชีวิตใหม่ที่พระเจ้าจะประทานให้  แต่เธอรู้เพียงว่า เวลาแห่งชีวิตใหม่จะมาถึงแน่เพราะเธอเดินบนเส้นทางของพระคริสต์   และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นเป็นจริง   ทุกวันนี้ เคย์ลา มาทำพันธกิจในค่ายนี้ทุกปี  และได้เป็นผู้นำค่ายคนหนึ่งด้วย

การติดตามพระคริสต์มิใช่การที่เราเห็นด้วยกับคำสอนและแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์เท่านั้น   แต่ชีวิตสาวกพระคริสต์เป็นชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตเดิมของเราอย่างสิ้นเชิง   แล้วไปเดินบนเส้นทางชีวิตของพระเยซูคริสต์   บนเส้นทางที่ให้ชีวิตแก่ผู้อื่น  เส้นทางที่ยอมปักหัวดิ่งลงสู่ความตาย เพื่อที่จะทะยานขึ้นพร้อมกับพระคริสต์สู่ชีวิตใหม่ในพระองค์   ในทุกครั้งที่ชีวิตของเราต้องเผชิญกับความผิดหวัง ท้อแท้  ทุกข์ยากลำบาก ตรากตรำ ฝ่าฝัน  หรือ ถึงกับต้องปล้ำสู้   เรากำลังได้รับโอกาสที่มีส่วนร่วมในวิถีชีวิตของพระคริสต์   และการที่จะมีโอกาสเข้าร่วมชีวิตบนเส้นทางชีวิตพระคริสต์   เมื่อเราเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ที่เลวร้ายที่เราประสบ  เป็นการที่มองเห็นว่า นั่นเป็นโอกาสที่เราจะร่วมในพระราชกิจของพระคริสต์ในสถานการณ์ที่เราเผชิญนั้น   เป็นการที่เรารู้ตัวว่า  เรากำลังอยู่บนเส้นทางในแผนที่ชีวิตของพระคริสต์   และปลดปล่อยเราให้มีอิสระที่จะมีประสบการณ์ในการร่วมเดินไปบนเส้นทางนั้นกับพระองค์  ด้วยจิตใจที่ขอบพระคุณและชื่นชม ไม่ว่าชีวิตจะขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างไรก็ตาม

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น