17 มกราคม 2561

เมื่อลูกวัยรุ่น “ละทิ้งความเชื่อ” พ่อแม่จะทำอย่างไรดี?

มรดกทางความเชื่อศรัทธาของคริสตชน  ไม่ได้เป็นเหมือนมรดกทางทรัพย์สิน เงินทอง  ที่ดิน บ้างช่อง ฯลฯ   ที่พ่อแม่สามารถเก็บรักษาแล้วมอบให้กับลูก ๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม   แต่ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนแต่ละคน เป็นสิ่งที่คน ๆ นั้นต้องเผชิญ ปลุกปล้ำในชีวิตประจำวันของเขาเอง   จนเขายอมรับ และกลายเป็นความเชื่อศรัทธาของคน ๆ นั้นโดยเฉพาะ

เมื่อผมมีโอกาสพูดคุยกับพ่อแม่คริสตชนในปัจจุบัน  พบว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่คริสตชนหลายต่อหลายครอบครัวและหลายคนเกิดความทุกข์ใจอย่างมากคือ   ลูก ๆ ไม่เดินตามเส้นทางชีวิตแห่งความเชื่อ (อย่างที่พ่อแม่เคยเป็นเคยเดินมาก่อน)  พ่อแม่หลายครอบครัวพบว่า ลูก ๆ ที่ออกไปศึกษาต่อในเมืองในกรุงไม่ไปโบสถ์  อย่างที่สมัยตนเมื่ออายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกไปโบสถ์เป็นประจำและช่วยงานโบสถ์อย่างเต็มที่

พ่อแม่คริสตชนปัจจุบันทุกข์ใจเพราะลูก ๆ ไม่เดินตาม “แผนที่ชีวิตแห่งความเชื่อ” ที่พ่อแม่เคยเดินมาก่อน

พวกเขากำลังพบว่า  ลูก ๆ กำลังเดินออกนอกแผนที่ชีวิตแห่งความเชื่อศรัทธาที่ตนคาดว่าลูกจะเดินตาม   ทั้ง ๆ ที่เมื่อเขาเป็นเด็ก   เขาเรียนในชั้นเรียนรวีฯ อย่างต่อเนื่อง   จนโตขึ้นเข้าเรียนในชั้นเรียนก่อนรับบัพติสมา   เข้าร่วมกิจกรรมของอนุชนในคริสตจักร   แต่เมื่อต้องออกจากบ้าน หรือ ใช้เวลาชีวิตนอกบ้านมากกว่าในบ้าน   ลูก ๆ เริ่มไม่ค่อยไปโบสถ์ในวันอาทิตย์   ยิ่งเขามีกิจกรรมของสถานศึกษามากขึ้น   เมื่อพ่อแม่คาดหวังให้เขาเก่งมีทักษะในด้านต่าง ๆ  ไม่ว่ากีฬา ดนตรี ศิลปะ และ ฯลฯ   เวลาที่จะไปโบสถ์ยิ่งหดหายไปจนไม่มีเวลาไปโบสถ์  

ลูก ๆ ค้นพบแผนที่ชีวิตฉบับใหม่ “ในสังคมนอกบ้าน”   เขาเริ่มเดินออกนอกแผนที่ชีวิตความเชื่อที่พ่อแม่เคยเดินมาก่อน   และเข้าไปเดินใน “แผนที่ชีวิตสมัยใหม่”  

ต้องยอมรับว่า  พ่อแม่และคริสตจักรยังคงใช้แผนที่ชีวิตฉบับเดิมทั้ง ๆ ที่ชีวิตสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายเรียกว่าจากหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว   และ คนหนุ่มสาวก็คาดหวังว่าแผนที่ชีวิตสมัยใหม่จะตอบโจทย์ชีวิตที่เขากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันมากกว่าแผนที่ชีวิตของพ่อแม่

สิ่งที่พ่อแม่คริสตชนพยายามปลูกฝังเมื่อลูก ๆ ยังเป็นเด็กและเยาวชนให้มีความเชื่อศรัทธาอย่างที่ตนเองเคยได้รับการปลูกฝังมาก่อน   ดูเหมือนละลายหายสูญไปอย่างสิ้นเชิง   เมื่อเขาเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่นและเมื่อเขาเริ่มใช้ชีวิตนอกบ้านมากยิ่งขึ้น   ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?   เป็นโจทย์ที่คริสตจักรจะต้องมีคำตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว   และคริสตจักรมีแผนที่ความเชื่อศรัทธาที่สามารถสื่อสาร ตอบโจทย์ชีวิตของวัยรุ่นคนสมัยใหม่เหล่านี้หรือไม่?   คริสตจักรใส่ใจและสนใจที่จะแสวงหา “แผนที่ชีวิตแห่งความเชื่อ” ที่ตอบโจทย์ชีวิตของหนุ่มสาววัยรุ่นคนรุ่นใหม่หรือไม่?   หรือมองว่า “แผนที่ชีวิตความเชื่อศรัทธาคริสตชน” ศักดิ์สิทธิ์จนเปลี่ยนแปลงไม่ได้?

เมื่อผมมีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เคยมาคริสตจักร   ประเด็นที่น่าคิดคือ  เขาพูดตีแสกหน้าผมว่า  พวกผู้ใหญ่คริสตชนในคริสตจักรโดยเฉพาะระดับผู้นำมีชีวิตที่ไม่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ผู้นำ และ นักการเมืองในสังคมเลย   เขาพบว่า “ผู้ใหญ่” ในคริสตจักรหน้าไหว้หลังหลอก   เขาบอกว่าเขาเห็นพวกผู้ใหญ่หักหลังกัน  ไม่ได้มีชีวิตที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สมาชิก และ เยาวชนในคริสตจักร   คนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งบอกผมว่า “ผมรู้สึกว่า  คริสตจักรไม่ได้สนใจสิ่งที่พวกผมคับข้องใจ หรือ ปัญหาที่พวกเราประสบในชีวิตประจำวัน  แต่กลับสนใจเรื่อง กฎระเบียบ  การตีตราตัดสินผู้อื่น...  เน้นการประกอบศาสนพิธีสำคัญกว่าการมีชีวิตที่สำแดงความรักแบบพระคริสต์”  วัยรุ่นอีกกลุ่มหนึ่งบอกผมว่า  “เวลาไปโบสถ์วันอาทิตย์ พบแต่ความรุนแรงทั้งการซุบซิบนินทา  ตีตรากล่าวร้าย”   อีกกลุ่มหนึ่งบอกผมว่า  “พวกผู้นำคริสตจักรก็เอาระบบการเมืองสกปรกมาใช้ในคริสตจักร...  พวกเขาทำตัวไม่แตกต่างจากผู้นำในสังคมปัจจุบัน”   ....พอแค่นี้ครับ

เหล่านี้คือโจทย์ชีวิตที่เขาถาม และ ต้องการคำตอบ!   ดูเหมือนว่าผู้ใหญ่ของคริสตจักรระดับต่าง ๆ ไม่สนใจที่จะตอบ?   เขาเลยไม่สนใจที่จะสืบทอดความเชื่อศรัทธา “ที่ไม่ตอบโจทย์ในชีวิตของเขา”?

ในภาวะล่อแหลมแห่งชีวิตเช่นนี้   ใครที่จะดูแลความคิดจิตวิญญาณของเยาวชนคนรุ่นใหม่   คำตอบคงหนีไม่พ้น “พ่อแม่คริสตชน” ครับ   อย่างน้อยที่สุดผู้เขียนคาดหวังว่า  พ่อแม่กับลูก ๆ น่าจะมีสัมพันธภาพที่ยึดแน่นต่อกันเป็นรากฐานที่จะค่อย ๆ ประคับประคอง และ หล่อหลอมฟูมฟัก ความเชื่อศรัทธาของคริสตชนคนรุ่นใหม่เหล่านี้

ผมมีโอกาสสัมภาษณ์วัยรุ่นคริสตชนบางคนบางกลุ่ม   ที่ยืนยันว่า แม่ หรือ พ่อคือผู้ที่ช่วยประคับประคองชีวิตและความเชื่อศรัทธาของเขา   เมื่อเกิดวิกฤติชีวิต พ่อแม่คอยเตือนสติตนเสมอว่า  ในวิกฤติปัญหา หรือ สถานการณ์ที่เลวร้ายล่อแหลมเหล่านั้น  พระคริสต์อยู่เคียงข้างลูก   และพ่อแม่คอยบอกหนูเสมอว่า เขาอธิษฐานเผื่อหนูเสมอ   และที่สำคัญผมเห็นพ่อแม่ยังคงเคียงข้างในสถานการณ์ที่เลวร้ายของผม   ในเวลาเช่นนั้นเองที่ผมหมดทางเลือก  ผมก้มหัวลงอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย   และจุดนี้เองที่ความเชื่อศรัทธาของผมกลับมาและค่อย ๆ เติบโตจากวันนั้น

จากการพูดคุยกับคริสตจักรกลุ่มวัยต่าง ๆ   ผมได้รับข้อมูลและการเรียนรู้มากมาย   สิ่งหนึ่งที่ยืนยันความจริงว่า   การที่เด็กและเยาวชนในครอบครัวของเราที่ได้ไปคริสตจักรในวันอาทิตย์  หรือรับการเลี้ยงดูด้วยพ่อแม่ที่เป็นคริสตชน   ไม่ได้รับประกันได้ว่าเด็กคนนั้นจะมีชีวิตตามความเชื่อศรัทธาของคริสตจักร   พลังการสร้างเสริมหล่อหลอมของครอบครัวคริสตชนเป็นการวางรากฐานที่สำคัญยิ่ง  นั่นเป็นความจริงส่วนหนึ่ง   แต่ก็ไม่สามารถที่จะค้ำประกันได้ว่า เด็กคนนั้นจะเป็นสาวกที่แท้จริงของพระคริสต์

เพราะความเชื่อศรัทธาเป็นเรื่องของแต่ละตัวคน  ความเชื่อศรัทธาเป็นการค้นพบในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง   มิใช่ครั้งเดียวเสร็จ   และความเชื่อศรัทธาในตัวของลูก ๆ มิใช่การสืบทอดความเชื่อศรัทธาจากตัวพ่อแม่   แต่ต้องเป็นความเชื่อศรัทธาที่แต่ละคนค้นพบ และ เติบโตขึ้นในความเชื่อที่เกิดขึ้นในแต่ละตัวคน  

ครอบครัวคริสตชนสามารถเสริมสร้างความเชื่อศรัทธาในลูกที่อยู่กับพ่อแม่   แต่เมื่อลูกต้องเผชิญโลกกว้างความเชื่อศรัทธาในบ้านไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตในสังคมได้   แต่ความเชื่อที่พระคริสต์กระทำกิจของพระองค์ในชีวิตของเขาแต่ละคนต่างหากที่ก่อร่างสร้างรากฐานความเชื่อที่เป็นของวัยรุ่นคน ๆ นั้น   เป็นความเชื่อของเขาเองที่มีกับพระเจ้า   ลูกของเราต้องมีโอกาสที่เผชิญหน้า สัมผัส และสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วยตัวของเขาเอง

ผมได้อ่านข้อเขียนชิ้นหนึ่ง  ที่คุณแม่อดทนใกล้ชิดลูกที่ทิ้งความเชื่อแบบพ่อแม่  แต่คุณแม่กลับอยู่เคียงข้างลูก รักเขาอย่างไรเงื่อนไข   เมื่ออ่านบทความนี้ได้ถอดบทเรียนจากประสบการณ์จากคุณแม่คนนี้ไว้ว่า   ถ้าลูกของเราเลิกที่จะเชื่อ  หรือ ทิ้งความเชื่อดังเดิมที่เรามี   เรามีแนวทางปฏิบัติ 12 ประการครับ
(กรุณาอ่านต่อในตอนที่ 2)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

Prasit.emmaus@gmail.com;  081 289 4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น