เราจะรู้ได้อย่างไรว่า
เราเป็นสาวกพระคริสต์จริงหรือไม่?
แค่ไหน? แท้จริงแล้ว
มีสิ่งที่บ่งชัดถึงชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา
10...
เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์ 11...
ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละ (ให้) ชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 14เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี
เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา 15เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา
และเราสละ (ให้) ชีวิตเพื่อฝูงแกะ (ยอห์น 10)
จะเอาระบบคุณค่าที่ตนเองชอบ
หรือ ระบบคุณค่าตามแบบพระคริสต์ประสงค์
พระเยซูคริสต์บอกกับสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง
รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24 มตฐ.) เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด
คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสีย(ให้)ชีวิตเพราะเห็นแก่เรา
คนนั้นจะได้ชีวิตรอด (มัทธิว 16:25) และกล่าวอีกว่า “ศิษย์ย่อมไม่ใหญ่ไปกว่าครู
แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว
ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู (ลูกา 6:40)
และสาวกคนใดที่จะมีชีวิตตามอย่างของพระคริสต์
สาวกคนนั้นจะมีชีวิตที่ทนทุกข์เพื่อผู้อื่นเหมือนพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อมวลมนุษยชาติ ในรูปแบบต่าง ๆ ตามสถานการณ์และบริบทชีวิตของแต่ละคนในเวลานั้น
ๆ
26“ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา
บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง
คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้...” (ลูกา 14:26 มตฐ.)
27“...และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา
คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้...” (ลูกา 14:27 มตฐ.
13 “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่
และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ
และคนทั้งหลายที่เข้าไปทางนั้นมีมาก 14 เพราะประตูที่แคบและทางที่ลำบากนั้นนำไปสู่ชีวิต
และพวกที่หาพบก็มีน้อย (มัทธิว 7:13-14 มตฐ.)
33“เช่นนั้นแหละ
ทุกคนในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่มีอยู่จะเป็นสาวกของเราไม่ได้” (ลูกา 14:33 มตฐ.)
การเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน
ดูกันที่ว่า คริสตชนคนนั้นมีระบบคุณค่าในชีวิตประจำวันอย่างไร เราพิจารณาได้ว่า คริสตชนคนนั้น ๆ ให้คุณค่าในการมีชีวิตที่ติดตามพระคริสต์เหนือกว่าสิ่งอื่นใดหรือไม่?
เขาให้คุณค่าในการติดตามพระคริสต์เหนือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว เหนือความต้องการอยากได้ใคร่มีของตนเอง (หรือ
ภาษาในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ปฏิเสธตนเอง”) หรือไม่?
เราตัดสินใจเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่พระคริสต์ดำเนินไป หรือ เราเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางตามกระแสนิยม กระแสสังคม
หรือบนเส้นทาง “ประชานิยม” และได้พัฒนาเป็น “ไทยนิยม” ในปัจจุบันนี้ ที่นักการเมืองวางกับดักไว้
พฤติกรรมการตัดสินใจเลือกเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานบ่งชี้ชัดว่า
เรามีระบบคุณค่าที่พระคริสต์ประสงค์ให้มีในตัวสาวกของพระองค์หรือไม่?
และสิ่งนี้เป็นอีกด้านหนึ่งที่ช่วยบ่งชี้ชัดว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันหรือไม่?
การเสริมหนุนชุมชนสาวกพระคริสต์
ให้ติดตามพระองค์
นอกจากที่สาวกพระคริสต์มีชีวิตในที่ไหน เขาจะสำแดงชีวิตพระคริสต์ในที่นั้น ๆ เพื่อคนรอบข้างจะได้สัมผัสกับความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขของพระองค์ แล้วตัดสินใจเข้าร่วมกระบวนการ “การให้ชีวิตแบบพระคริสต์”
เพื่อร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกตามระบบคุณค่า และ
มีเป้าหมายในการนำคุณภาพชีวิตแบบแผ่นดินสวรรค์ให้มาเป็นคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้ที่พระคริสต์นำมาสถาปนา ด้วยการที่แต่ละคนตัดสินใจที่จะ
“ติดตามพระคริสต์” และให้ชีวิตของตนเยี่ยงพระคริสต์แก่ผู้คนรอบข้าง
ดังนั้น
การเสริมสร้างบ่มเพาะชีวิตสาวกพระคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง แต่คริสตชนต้องไม่ลืมหรือละทิ้งในการเสริมสร้าง
“ชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า” ในทุก ๆ ที่ที่มีสาวกของพระคริสต์ ชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจะเป็นชุมชนที่ช่วยบ่มเพาะ
หนุนเสริม ให้แต่ละคนในชุมชนเติบโต
เข้มแข็งขึ้นในการเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน
ชุมชนผู้เชื่อที่เสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวันจึงมิใช่ชุมชนคริสตชนวันอาทิตย์ที่มานมัสการพระเจ้าร่วมกันเท่านั้น
แต่เป็นชุมชนของผู้เชื่อในทุกที่ในชีวิตประจำวัน (ในครอบครัว ในที่ทำงาน
และในชุมชน) ที่ต่างหนุนเสริม ค้ำชู และเสริมสร้างกันและกัน และที่สำคัญคือ
ชีวิตร่วมกันในชุมชนผู้เชื่อนั้นเองที่พระคริสต์จะเสริมสร้างคน ๆ นั้นให้เป็นคนรับใช้ของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพลังชีวิตที่เสริมสร้างคน
ๆ นั้นในทุกสถานการณ์ชีวิตที่เขาเผชิญ ประสบพบเจอ
เพื่อมีชีวิตที่สำแดงพระคริสต์แก่ผู้คนรอบข้างในที่นั้น ๆ
การติดตามพระคริสต์ เราต้องการกำลังหนุนเสริม และ
การเสริมสร้างจากพระคริสต์ และหลายครั้งพระองค์สร้างและหนุนเสริมเราผ่านชุมชนผู้เชื่อที่ติดตามพระองค์
ดังนั้น การมีชุมชนผู้เชื่อในที่ต่าง ๆ จึงเป็นความจำเป็นต้องการอย่างมากสำหรับการเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน นอกจากชุมชนที่พบปะกันหน้าต่อหน้าแล้ว ปัจจุบันนี้ เรายังมีชุมชนผู้เชื่อทาง “อากาศ” ที่สามารถเป็นชุมชนสื่อสาร เสริมสร้าง และ
หนุนเสริมกันและกันในพระคริสต์ผ่านเครื่องมือสื่อสารทันสมัยหลายรูปแบบอีกด้วย แต่สาวกพระคริสต์ต้องตระหนักชัดด้วยว่า
“ชุมชนทางอากาศ” ไม่สามารถมาแทนที่ “ชุมชนที่สัมพันธ์พบปะกันหน้าต่อหน้า” ได้ แต่ในเวลาเดียวกันเราต้องระมัดระวังด้วยว่า เมื่อเราเข้าร่วมในชุมชน เรามิได้ติดตามชุมชน
แต่เราต้องยืนหยัดยึดมั่นว่าเราติดตามพระคริสต์ และชุมชนดังกล่าวต้องติดตามพระคริสต์ด้วย แต่มิใช่ตามใจปรารถนาของตนเอง เราไม่ได้เลือกพระคริสต์ แต่พระคริสต์ทรงเป็นผู้เลือกเรา และให้เราติดตามพระองค์ มิใช่ติดตามตามกระแสโลก ถ้าเราจะเป็นสาวกของพระคริสต์อย่างแท้จริง นั่นหมายความว่าเราต้องปฏิเสธตนเอง แล้วแบกกางเขนตามพระคริสต์ไป (มัทธิว 16:24)
ในชีวิตประจำวันแต่ละวัน
มิใช่ติดตามพระองค์เพียงเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น และในการที่เราเป็นสาวกติดตามพระคริสต์ ชุมชนผู้เชื่อจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราหนุนเสริมกันและกันให้ยืนมั่นคงที่จะมีชีวิตติดตามพระคริสต์
คิดค่าราคาในการติดตามพระคริสต์
เมื่อเราจะซ่อมบ้าน ไม่ว่าจะเทพื้นใหม่ หรือ ซ่อมหลังคาบ้าน สิ่งแรกเราต้องคำนวณว่า
จะต้องมีค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน
เพื่อเราจะสามารถประเมินได้ว่าเราสามารถจะซ่อมให้เสร็จหรือไม่ ในทำนองเดียวกัน
ถ้าเราจะต้องปฏิเสธตนเองและติดตามพระคริสต์ เราต้องประเมินว่าเราต้องจ่ายค่าราคาเท่าใด
การที่เราจะดำเนินชีวิตตามคำสอนและแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์ เราพร้อมที่จะต้องจ่ายค่าราคาในการที่จะดำเนินชีวิตแบบนั้นหรือไม่ สำหรับบอนฮอฟเฟอร์ได้กล่าวเรื่องนี้
ในสมัยที่ท่านต้องถูกจับเข้าคุกในยุคของนาซี ค่าราคาที่เขาจะต้องจ่ายในการเป็นสาวกของพระคริสต์คือการทนทุกข์จนถึงการที่ต้องสละชีวิต เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ คือรู้จักฤทธิ์เดชแห่งการคืนพระชนม์ของพระองค์และรู้จักการมีส่วนร่วมในความทุกข์ของพระองค์
และเป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายนั้น”
(ฟิลิปปี 3:10 มตฐ.)
และชีวิตของเปาโลก็ได้พบเช่นนั้น
การเป็นสาวกของพระคริสต์
เราต้องปฏิเสธตนเอง ติดตามพระองค์ไป และ
ประเมินค่าราคาในการเป็นสาวกที่เราจะต้องจ่ายด้วยชีวิต
เราพร้อมและเต็มใจที่จะจ่ายค่าราคาชีวิตของเราหรือไม่?
แจ้งข่าวร้าย ให้ข่าวดี
หลายท่านเกิดคำถามในใจทันทีว่า ทำไมถึงพูดว่า สาวกพระคริสต์ต้องแจ้งข่าวร้าย ทำไมเราถึงบอกผู้คนในสิ่งที่ไม่ดี คริสตชนคือผู้ที่ประกาศข่าวดีมิใช่หรือ
ถ้าเราไปพูดข่าวร้ายแล้วเขาจะมาเชื่อพึ่งในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ใช่ครับ
เราพยายามที่จะไม่แจ้งข่าวร้ายแก่ผู้คน
เพราะคนจะไม่อยากฟัง
และเขาคงไม่ชอบเราด้วย
แต่ความจริงก็คือว่า
พระวจนะของพระเจ้าให้กำลังใจและความหวังแก่คนที่ตกทุกข์ยากลำบาก ให้การประเล้าประโลมใจ แต่ในอีกด้านหนึ่งพระวจนะของพระเจ้าตักเตือน
กล่าวโทษ คนที่มั่งมี คนที่กำลังมีความสะดวกสบายในชีวิตเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น เพราะการอยุติธรรมที่เขากระทำต่อผู้อื่น
ผู้เล็กน้อย
และด้านนี้พระวจนะของพระเจ้ากำลังแจ้งข่าวร้าย
ที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวร้ายคนเหล่านี้มิใช่เพราะความจงเกลียดจงชัง ที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวด ไม่พอใจ หรือ
เกิดบาดแผลในชีวิต
แต่พระวจนะต้องการตักเตือนเพื่อให้เขารู้ตัวว่า เขากำลังดำเนินชีวิตที่หมิ่นเหม่
อันตรายสู่ความตาย
เพื่อที่จะบอกข่าวดีแก่เขาว่า
โดยพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไร้เงื่อนไข
พระองค์พร้อมที่จะอภัยโทษ และ ให้โอกาสที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่ กลับใจใหม่
เพื่อจะได้รับการเยียวยา รักษา และการช่วยกู้จากพระคริสต์ และนี่คือการให้ข่าวดี ประกาศข่าวดีแก่เขา
ตัวอย่างเช่น
มีครอบครัวหนึ่งกำลังหลับสนิทอย่างอบอุ่นและสบาย แต่รอบ ๆ บ้านของเขาไฟกำลังไหม้ สิ่งที่เราควรกระทำคือ ปลุกให้คนในบ้านรีบตื่น เพราะเกิดเหตุร้ายไฟกำลังจะไหม้บ้านเขา รีบหนีออกจากบ้าน เพื่อทุกคนจะไม่ถูกไฟครอกตาย ไฟไหม้บ้านเป็นข่าวร้าย
และการให้รีบหนีออกจากบ้านเพื่อไม่ถูกไฟครอกตายเป็นข่าวดี
คนในบ้านต้องตระหนักว่าเขากำลังอยู่ในความอันตราย เขาถึงจะยอมรับข่าวดีคือรีบหนีออกจากบ้านเอาชีวิตรอด
คริสตชนหลายคนสบายใจที่จะประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์แก่ผู้คนรอบข้าง แต่การที่ผู้คนจะหันกลับมารับเอาข่าวดีของพระเยซูคริสต์ก็ต่อเมื่อเขาตระหนักชัดว่า ชีวิตของเขาตกอยู่ในอำนาจแห่งความบาปชั่ว ชีวิตของเขาตกลงในกับดักของมารร้าย
และไม่สามารถหลุดรอดออกจากอำนาจชั่วดังกล่าวด้วยตนเอง และนี่คือข่าวร้ายสุด ๆ แต่เขาไม่ต้องสิ้นหวัง พระคริสต์มีอำนาจฤทธิ์เดชที่จะฉุดกู้เขาออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น ด้วยความรักเมตตาของพระองค์ และนี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์
กล่าวได้ว่า
การที่จะประกาศข่าวดีให้ผู้คนยอมรับการช่วยกู้ให้รอด คริสตชนต้องประกาศข่าวร้ายที่ชีวิตของเขาสิ้นหวังหมดทางรอดพ้นก่อน แล้วจึงประกาศข่าวดีที่ว่า
ชีวิตยังมีความหวัง
ถ้าเขายอมให้พระเยซูคริสต์กอบกู้ฉุดเขาออกจากอำนาจแห่งความชั่วนั้น
พระคริสต์ต้องการสาวกที่ปรารถนาดำเนินชีวิตตามพระทัยของพระองค์
พระองค์ไม่ต้องการสาวกที่ทำตามใจปรารถนาของตนเอง สาวกของพระคริสต์ที่แท้จริงต้องปฏิเสธตนเอง แล้วดำเนินชีวิตประจำวันตามพระคริสต์ไป
เพราะสาวกคนนั้นได้ประเมินค่าราคาที่เขาจะต้องจ่ายในการติดตามพระคริสต์
และสาวกพระคริสต์ที่แท้จริงมิใช่ประกาศแต่ข่าวดีเท่านั้น
แต่พร้อมที่จะประกาศข่าวร้ายแก่ผู้คนรอบข้าง เพื่อทุกคนจะได้ตระหนักชัดว่าชีวิตของตนกำลังหมิ่นเหม่อันตรายสู่ความตาย
และตนเองหมดทางสู้ที่จะหลุดรอดออกจากอันตรายนั้นได้
และเราจะประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่เป็นความหวังและที่พึ่งของเราทุกคน
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com; 081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น