24 มกราคม 2561

สาวกพระคริสต์แท้ในชีวิตประจำวัน

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราเป็นสาวกพระคริสต์จริงหรือไม่?  แค่ไหน?   แท้จริงแล้ว มีสิ่งที่บ่งชัดถึงชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเรา

10... เรา​มา​เพื่อ​พวก​เขา​จะ​ได้​ชีวิต​และ​จะ​ได้​อย่าง​ครบ​บริบูรณ์   11... ผู้​เลี้ยง​ที่​ดี​ย่อม​สละ (ให้) ​ชีวิต​ของ​ตน​เพื่อ​ฝูง​แกะ  14เรา​เป็น​ผู้​เลี้ยง​ที่​ดี เรา​รู้​จัก​แกะ​ของ​เรา​และ​แกะ​ของ​เรา​ก็​รู้​จัก​เรา     15เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​บิดา​ทรง​รู้​จัก​เรา​และ​เรา​รู้​จัก​พระ​บิดา และ​เรา​สละ (ให้) ​ชีวิต​เพื่อ​ฝูง​แกะ   (ยอห์น 10)

จะเอาระบบคุณค่าที่ตนเองชอบ หรือ ระบบคุณค่าตามแบบพระคริสต์ประสงค์

พระเยซูคริสต์บอกกับสาวกของพระองค์ว่า  “ถ้า​ใคร​ต้อง​การ​จะ​ติด​ตาม​เรา ให้​คน​นั้น​ปฏิเสธตน​เอง รับ​กาง​เขน​ของ​ตน​แบก​และ​ตาม​เรา​มา” (มัทธิว 16:24 มตฐ.)  เพราะ​ว่า​ใคร​ต้อง​การ​จะ​เอา​ชีวิต​รอด คน​นั้น​จะ​เสีย​ชีวิต แต่​ใคร​ยอม​เสีย​(ให้)ชีวิต​เพราะ​เห็น​แก่​เรา คน​นั้น​จะ​ได้​ชีวิต​รอด (มัทธิว 16:25)  และกล่าวอีกว่า  “ศิษย์​ย่อม​ไม่​ใหญ่​ไป​กว่า​ครู แต่​ศิษย์​ทุก​คน​ที่​ได้​รับ​การ​ฝึก​สอน​อย่าง​สมบูรณ์​แล้ว ก็​จะ​เป็น​เหมือน​อย่าง​ครู (ลูกา 6:40)  และสาวกคนใดที่จะมีชีวิตตามอย่างของพระคริสต์  สาวกคนนั้นจะมีชีวิตที่ทนทุกข์เพื่อผู้อื่นเหมือนพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อมวลมนุษยชาติ   ในรูปแบบต่าง ๆ ตามสถานการณ์และบริบทชีวิตของแต่ละคนในเวลานั้น ๆ  

26“ถ้า​ใคร​มา​หา​เรา​และ​ไม่​ชัง​บิดา​มารดา บุตร​ภรรยา และ​พี่​น้อง​ชาย​หญิง แม้​แต่​ชีวิต​ของ​ตน​เอง คน​นั้น​จะ​เป็น​สา​วก​ของ​เรา​ไม่​ได้...” (ลูกา 14:26 มตฐ.)

27“...และ​ใคร​ก็​ตาม​ที่​ไม่​ได้​แบก​กาง​เขน​ของ​ตน​ตาม​เรา​มา คน​นั้น​จะ​เป็น​สา​วก​ของ​เรา​ไม่​ได้...” (ลูกา 14:27 มตฐ.

13 “จง​เข้า​ไป​ทาง​ประตู​แคบ เพราะ​ว่า​ประตู​ใหญ่ และ​ทาง​กว้าง​นั้น​นำ​ไปถึง​ความ​พินาศ และ​คน​ทั้ง​หลาย​ที่​เข้า​ไป​ทาง​นั้น​มี​มาก 14 เพราะ​ประตู​ที่​แคบ​และ​ทาง​ที่​ลำ​บาก​นั้น​นำ​ไป​สู่​ชีวิต และ​พวก​ที่​หา​พบ​ก็​มี​น้อย (มัทธิว 7:13-14 มตฐ.)

 33“เช่น​นั้น​แหละ ทุก​คน​ใน​พวก​ท่าน​ที่​ไม่​ได้​สละ​สิ่ง​สาร​พัด​ที่​มี​อยู่​จะ​เป็น​สา​วก​ของ​เรา​ไม่​ได้”   (ลูกา 14:33 มตฐ.)    

การเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน ดูกันที่ว่า คริสตชนคนนั้นมีระบบคุณค่าในชีวิตประจำวันอย่างไร   เราพิจารณาได้ว่า คริสตชนคนนั้น ๆ ให้คุณค่าในการมีชีวิตที่ติดตามพระคริสต์เหนือกว่าสิ่งอื่นใดหรือไม่?   เขาให้คุณค่าในการติดตามพระคริสต์เหนือความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว  เหนือความต้องการอยากได้ใคร่มีของตนเอง (หรือ ภาษาในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ปฏิเสธตนเอง”) หรือไม่? เราตัดสินใจเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่พระคริสต์ดำเนินไป  หรือ เราเลือกที่จะเดินไปบนเส้นทางตามกระแสนิยม  กระแสสังคม  หรือบนเส้นทาง “ประชานิยม” และได้พัฒนาเป็น “ไทยนิยม” ในปัจจุบันนี้ ที่นักการเมืองวางกับดักไว้   พฤติกรรมการตัดสินใจเลือกเหล่านี้เป็นประจักษ์พยานบ่งชี้ชัดว่า  เรามีระบบคุณค่าที่พระคริสต์ประสงค์ให้มีในตัวสาวกของพระองค์หรือไม่?   และสิ่งนี้เป็นอีกด้านหนึ่งที่ช่วยบ่งชี้ชัดว่าเราเป็นสาวกของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันหรือไม่? 

การเสริมหนุนชุมชนสาวกพระคริสต์ ให้ติดตามพระองค์

นอกจากที่สาวกพระคริสต์มีชีวิตในที่ไหน  เขาจะสำแดงชีวิตพระคริสต์ในที่นั้น ๆ เพื่อคนรอบข้างจะได้สัมผัสกับความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขของพระองค์   แล้วตัดสินใจเข้าร่วมกระบวนการ “การให้ชีวิตแบบพระคริสต์”  เพื่อร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมโลกตามระบบคุณค่า และ มีเป้าหมายในการนำคุณภาพชีวิตแบบแผ่นดินสวรรค์ให้มาเป็นคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้ที่พระคริสต์นำมาสถาปนา  ด้วยการที่แต่ละคนตัดสินใจที่จะ “ติดตามพระคริสต์”  และให้ชีวิตของตนเยี่ยงพระคริสต์แก่ผู้คนรอบข้าง

ดังนั้น   การเสริมสร้างบ่มเพาะชีวิตสาวกพระคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง   แต่คริสตชนต้องไม่ลืมหรือละทิ้งในการเสริมสร้าง “ชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้า” ในทุก ๆ ที่ที่มีสาวกของพระคริสต์  ชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจะเป็นชุมชนที่ช่วยบ่มเพาะ หนุนเสริม ให้แต่ละคนในชุมชนเติบโต เข้มแข็งขึ้นในการเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน   ชุมชนผู้เชื่อที่เสริมสร้างชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวันจึงมิใช่ชุมชนคริสตชนวันอาทิตย์ที่มานมัสการพระเจ้าร่วมกันเท่านั้น   แต่เป็นชุมชนของผู้เชื่อในทุกที่ในชีวิตประจำวัน (ในครอบครัว  ในที่ทำงาน  และในชุมชน) ที่ต่างหนุนเสริม ค้ำชู และเสริมสร้างกันและกัน  และที่สำคัญคือ ชีวิตร่วมกันในชุมชนผู้เชื่อนั้นเองที่พระคริสต์จะเสริมสร้างคน ๆ นั้นให้เป็นคนรับใช้ของพระองค์  และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพลังชีวิตที่เสริมสร้างคน ๆ นั้นในทุกสถานการณ์ชีวิตที่เขาเผชิญ ประสบพบเจอ  เพื่อมีชีวิตที่สำแดงพระคริสต์แก่ผู้คนรอบข้างในที่นั้น ๆ

การติดตามพระคริสต์  เราต้องการกำลังหนุนเสริม และ การเสริมสร้างจากพระคริสต์ และหลายครั้งพระองค์สร้างและหนุนเสริมเราผ่านชุมชนผู้เชื่อที่ติดตามพระองค์ ดังนั้น การมีชุมชนผู้เชื่อในที่ต่าง ๆ จึงเป็นความจำเป็นต้องการอย่างมากสำหรับการเป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน   นอกจากชุมชนที่พบปะกันหน้าต่อหน้าแล้ว   ปัจจุบันนี้ เรายังมีชุมชนผู้เชื่อทาง “อากาศ”  ที่สามารถเป็นชุมชนสื่อสาร เสริมสร้าง  และ หนุนเสริมกันและกันในพระคริสต์ผ่านเครื่องมือสื่อสารทันสมัยหลายรูปแบบอีกด้วย   แต่สาวกพระคริสต์ต้องตระหนักชัดด้วยว่า “ชุมชนทางอากาศ” ไม่สามารถมาแทนที่ “ชุมชนที่สัมพันธ์พบปะกันหน้าต่อหน้า” ได้   แต่ในเวลาเดียวกันเราต้องระมัดระวังด้วยว่า   เมื่อเราเข้าร่วมในชุมชน  เรามิได้ติดตามชุมชน  แต่เราต้องยืนหยัดยึดมั่นว่าเราติดตามพระคริสต์   และชุมชนดังกล่าวต้องติดตามพระคริสต์ด้วย  แต่มิใช่ตามใจปรารถนาของตนเอง  เราไม่ได้เลือกพระคริสต์  แต่พระคริสต์ทรงเป็นผู้เลือกเรา   และให้เราติดตามพระองค์  มิใช่ติดตามตามกระแสโลก  ถ้าเราจะเป็นสาวกของพระคริสต์อย่างแท้จริง   นั่นหมายความว่าเราต้องปฏิเสธตนเอง   แล้วแบกกางเขนตามพระคริสต์ไป (มัทธิว 16:24)  ในชีวิตประจำวันแต่ละวัน   มิใช่ติดตามพระองค์เพียงเช้าวันอาทิตย์เท่านั้น   และในการที่เราเป็นสาวกติดตามพระคริสต์   ชุมชนผู้เชื่อจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้เราหนุนเสริมกันและกันให้ยืนมั่นคงที่จะมีชีวิตติดตามพระคริสต์

คิดค่าราคาในการติดตามพระคริสต์

เมื่อเราจะซ่อมบ้าน  ไม่ว่าจะเทพื้นใหม่ หรือ ซ่อมหลังคาบ้าน   สิ่งแรกเราต้องคำนวณว่า จะต้องมีค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน   เพื่อเราจะสามารถประเมินได้ว่าเราสามารถจะซ่อมให้เสร็จหรือไม่   ในทำนองเดียวกัน  ถ้าเราจะต้องปฏิเสธตนเองและติดตามพระคริสต์   เราต้องประเมินว่าเราต้องจ่ายค่าราคาเท่าใด   การที่เราจะดำเนินชีวิตตามคำสอนและแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์   เราพร้อมที่จะต้องจ่ายค่าราคาในการที่จะดำเนินชีวิตแบบนั้นหรือไม่   สำหรับบอนฮอฟเฟอร์ได้กล่าวเรื่องนี้   ในสมัยที่ท่านต้องถูกจับเข้าคุกในยุคของนาซี   ค่าราคาที่เขาจะต้องจ่ายในการเป็นสาวกของพระคริสต์คือการทนทุกข์จนถึงการที่ต้องสละชีวิต   เปาโลกล่าวว่า  “ข้าพเจ้า​ต้อง​การ​จะ​รู้​จัก​พระ​องค์ คือ​รู้​จัก​ฤทธิ์​เดช​แห่ง​การ​คืน​พระ​ชนม์​ของ​พระ​องค์​และ​รู้จัก​การ​มีส่วน​ร่วม​ใน​ความ​ทุกข์​ของ​พระ​องค์ และ​เป็น​เหมือน​กับ​พระ​องค์​ใน​ความ​ตาย​นั้น”  (ฟิลิปปี 3:10 มตฐ.) และชีวิตของเปาโลก็ได้พบเช่นนั้น   การเป็นสาวกของพระคริสต์  เราต้องปฏิเสธตนเอง  ติดตามพระองค์ไป   และ ประเมินค่าราคาในการเป็นสาวกที่เราจะต้องจ่ายด้วยชีวิต   เราพร้อมและเต็มใจที่จะจ่ายค่าราคาชีวิตของเราหรือไม่?

แจ้งข่าวร้าย  ให้ข่าวดี

หลายท่านเกิดคำถามในใจทันทีว่า   ทำไมถึงพูดว่า สาวกพระคริสต์ต้องแจ้งข่าวร้าย   ทำไมเราถึงบอกผู้คนในสิ่งที่ไม่ดี   คริสตชนคือผู้ที่ประกาศข่าวดีมิใช่หรือ   ถ้าเราไปพูดข่าวร้ายแล้วเขาจะมาเชื่อพึ่งในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร?   ใช่ครับ เราพยายามที่จะไม่แจ้งข่าวร้ายแก่ผู้คน   เพราะคนจะไม่อยากฟัง  และเขาคงไม่ชอบเราด้วย   แต่ความจริงก็คือว่า  พระวจนะของพระเจ้าให้กำลังใจและความหวังแก่คนที่ตกทุกข์ยากลำบาก   ให้การประเล้าประโลมใจ   แต่ในอีกด้านหนึ่งพระวจนะของพระเจ้าตักเตือน กล่าวโทษ คนที่มั่งมี คนที่กำลังมีความสะดวกสบายในชีวิตเพราะความเห็นแก่ตัว  เพราะการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น  เพราะการอยุติธรรมที่เขากระทำต่อผู้อื่น ผู้เล็กน้อย   และด้านนี้พระวจนะของพระเจ้ากำลังแจ้งข่าวร้าย   ที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวร้ายคนเหล่านี้มิใช่เพราะความจงเกลียดจงชัง   ที่จะทำให้เกิดความเจ็บปวด ไม่พอใจ หรือ เกิดบาดแผลในชีวิต   แต่พระวจนะต้องการตักเตือนเพื่อให้เขารู้ตัวว่า  เขากำลังดำเนินชีวิตที่หมิ่นเหม่ อันตรายสู่ความตาย    เพื่อที่จะบอกข่าวดีแก่เขาว่า   โดยพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไร้เงื่อนไข   พระองค์พร้อมที่จะอภัยโทษ และ ให้โอกาสที่จะตั้งต้นชีวิตใหม่  กลับใจใหม่  เพื่อจะได้รับการเยียวยา รักษา และการช่วยกู้จากพระคริสต์   และนี่คือการให้ข่าวดี ประกาศข่าวดีแก่เขา

ตัวอย่างเช่น   มีครอบครัวหนึ่งกำลังหลับสนิทอย่างอบอุ่นและสบาย   แต่รอบ ๆ บ้านของเขาไฟกำลังไหม้   สิ่งที่เราควรกระทำคือ  ปลุกให้คนในบ้านรีบตื่น  เพราะเกิดเหตุร้ายไฟกำลังจะไหม้บ้านเขา  รีบหนีออกจากบ้าน เพื่อทุกคนจะไม่ถูกไฟครอกตาย   ไฟไหม้บ้านเป็นข่าวร้าย   และการให้รีบหนีออกจากบ้านเพื่อไม่ถูกไฟครอกตายเป็นข่าวดี   คนในบ้านต้องตระหนักว่าเขากำลังอยู่ในความอันตราย   เขาถึงจะยอมรับข่าวดีคือรีบหนีออกจากบ้านเอาชีวิตรอด

คริสตชนหลายคนสบายใจที่จะประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์แก่ผู้คนรอบข้าง   แต่การที่ผู้คนจะหันกลับมารับเอาข่าวดีของพระเยซูคริสต์ก็ต่อเมื่อเขาตระหนักชัดว่า  ชีวิตของเขาตกอยู่ในอำนาจแห่งความบาปชั่ว   ชีวิตของเขาตกลงในกับดักของมารร้าย   และไม่สามารถหลุดรอดออกจากอำนาจชั่วดังกล่าวด้วยตนเอง  และนี่คือข่าวร้ายสุด ๆ แต่เขาไม่ต้องสิ้นหวัง   พระคริสต์มีอำนาจฤทธิ์เดชที่จะฉุดกู้เขาออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น  ด้วยความรักเมตตาของพระองค์  และนี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์

กล่าวได้ว่า  การที่จะประกาศข่าวดีให้ผู้คนยอมรับการช่วยกู้ให้รอด   คริสตชนต้องประกาศข่าวร้ายที่ชีวิตของเขาสิ้นหวังหมดทางรอดพ้นก่อน   แล้วจึงประกาศข่าวดีที่ว่า ชีวิตยังมีความหวัง  ถ้าเขายอมให้พระเยซูคริสต์กอบกู้ฉุดเขาออกจากอำนาจแห่งความชั่วนั้น 

พระคริสต์ต้องการสาวกที่ปรารถนาดำเนินชีวิตตามพระทัยของพระองค์  พระองค์ไม่ต้องการสาวกที่ทำตามใจปรารถนาของตนเอง   สาวกของพระคริสต์ที่แท้จริงต้องปฏิเสธตนเอง  แล้วดำเนินชีวิตประจำวันตามพระคริสต์ไป   เพราะสาวกคนนั้นได้ประเมินค่าราคาที่เขาจะต้องจ่ายในการติดตามพระคริสต์   และสาวกพระคริสต์ที่แท้จริงมิใช่ประกาศแต่ข่าวดีเท่านั้น   แต่พร้อมที่จะประกาศข่าวร้ายแก่ผู้คนรอบข้าง   เพื่อทุกคนจะได้ตระหนักชัดว่าชีวิตของตนกำลังหมิ่นเหม่อันตรายสู่ความตาย  และตนเองหมดทางสู้ที่จะหลุดรอดออกจากอันตรายนั้นได้   และเราจะประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่เป็นความหวังและที่พึ่งของเราทุกคน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น