ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า ที่พระคริสต์นำมาสถาปนาบนแผ่นดินโลกนี้เกี่ยวข้องกับอาชีพการงานของสาวกพระคริสต์แต่ละคนด้วยหรือ? ถ้าเกี่ยวข้องมันเกี่ยวข้องอย่างไร? ถ้ามองดูคริสตจักรส่วนใหญ่ในปัจจุบัน คริสตจักรใช้เวลาส่วนใหญ่ของตนในการสอน และ
บ่มเพาะฟูมฟัก เรื่องการดำเนินชีวิตด้านจิตวิญญาณท่ามกลางชุมชนสังคมส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เป็นคริสต์มากกว่า?
น่าสนใจว่า
หลังจากที่สมาชิกคริสตจักรใช้เวลานมัสการพระเจ้าร่วมกันในวันอาทิตย์ไม่กี่ชั่วโมง สมาชิกเกือบทุกคนต้องใช้เวลาทำอาชีพการงานของตนอย่างน้อยสัปดาห์ละ
40-50 ชั่วโมง หลายต่อหลายคนใช้เวลามากกว่านี้ หลายคนต้องทำการงานที่ไม่มีค่าจ้าง เช่น การเลี้ยงลูก
ทำความสะอาดบ้าน
บางคนยังต้องทำงานในสวน
บางคนออกกำลังกาย บางคนใช้เวลาในการบริการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตในชุมชน บางคนทำงานรับใช้คริสตจักรในเวลาพิเศษ อีกทั้งยังต้องใช้เวลาประมาณ
50 ชั่วโมงในครอบครัว และ ฯลฯ
การทำงานด้านต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้นได้ดูดเอาเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเรา
แต่ทำไมคริสตจักรท้องถิ่นกลับไม่ได้ให้ความสำคัญในการสอนและบ่มเพาะชีวิตในการทำงานของสมาชิกให้เป็นชีวิตที่เป็น
“สาวกพระคริสต์ในที่ทำงาน” หรือ “ในงานที่ทำ”
และนี่เป็นหัวข้อที่สำคัญมากหัวข้อหนึ่งที่คริสตจักรจะต้องใส่ใจการสอน
เสริมสร้างสมาชิกของตนให้เป็นสาวกพระคริสต์ในที่ทำงานของตน และ ในงานที่ตนทำ
การสร้างสาวกพระคริสต์แบบองค์รวม หรือ รอบด้าน
หรือ การเป็นสาวกทั้งชีวิต
แท้จริงการเป็นสาวกพระคริสต์เป็นเรื่องของชีวิตทั้งชีวิต
ทั้งชีวิตด้านจิตวิญญาณ ชีวิตการทำงาน ชีวิตครอบครัว ด้านเพศ ด้านเงินทอง
ด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและสังคม เรื่องความสัมพันธ์และชุมชน ด้านสุขภาพ
ด้านการศึกษา และ อื่น ๆ อีกในทุกด้านของชีวิตที่กล่าวนี้
เราจะต้องฝึกฝนที่จะดำเนินชีวิตตามคำสอนและตามแบบอย่างชีวิตของพระคริสต์ในทุกมิติ
หรือ ทุกบริบทของชีวิต เป้าหมายคือ
การเสริมสร้างให้สาวกพระคริสต์แต่ละคนมีชีวิตประจำวันที่ดำเนินชีวิตตามคำสอน และ
แบบอย่างชีวิตของพระคริสต์ และร่วมสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ ที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า
เราเห็นแล้วว่า ในชีวิตพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นคนทำงาน “พระคริสต์เป็นคนงาน”
ที่ทำงานอย่างดีในอาชีพการงานที่พระองค์ทำและรับผิดชอบ แต่ในความเป็นจริงพระองค์เป็นคนงานที่ทำงานอย่างใส่ใจและทำให้ทั้งตนเองและคนที่พระองค์เกี่ยวข้องด้วยมีคุณภาพชีวิตแบบแผ่นดินของพระเจ้า
พระองค์เป็นทั้งช่างฝีมือและพ่อค้า
อย่าลืมว่าก่อนที่มหาชนทั่วไปจะรู้และยอมรับว่าพระองค์เป็น “รับบี” หรือ “ครูสอนศาสนา”
พระองค์เป็น “คนใช้แรงงาน” พระองค์ทำงานในชุมชน พระองค์อาศัยอยู่เช่นนี้อย่างน้อยเกือบ
30 ปี พระองค์ทำงานประกอบอาชีพสัปดาห์ละ
6 วัน และพักผ่อนในวันสะบาโต เพื่อนมัสการพระเจ้า แล้วเริ่มต้นอีกวันหนึ่งในการทำงานเช่นเดิม
ถ้าพระคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้ พระองค์อาจจะมีอาชีพเป็นนักวิจัย เป็นคนเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นครูสอนในโรงเรียน เป็นนักจิตวิทยา
เป็นพยาบาล หรือไม่ก็เป็นหมอในโรงพยาบาล
พระองค์อาจจะเป็นช่างซ่อมรถยนต์
หรือพระองค์อาจจะเป็นคนขายของที่ห้าง
หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักข่าว
พระองค์อาจจะเป็นชาวนา
เป็นคนจับปลา
หรืออาจจะเป็นแรงงานข้ามชาติ พระองค์อาจจะเป็นศิษยาภิบาล อาจจะเป็นข้าราชการ หรือ อาจจะทำอาชีพต่าง ๆ อย่างที่เราท่านทำกันในทุกวันนี้ พระองค์อาจจะมีบ้าน หรือ ไม่ก็ห้องเช่าในอพาร์ทเมนท์ หรือ ไม่ก็ในบ้านเช่าโกโรโกโส หรือไม่ก็กระต๊อบปลายนา แย่หน่อยอาจจะเพิงใต้สะพานลอย พระองค์คงต้องทำงานตามอาชีพของพระองค์ พระองค์อาจจะได้รับการศึกษา และ
ได้รับการฝึกทักษะในงานนั้น ๆ แล้วแต่งานที่ทำไม่ว่าอะไร ที่ไหน
ใช้เวลาเท่าใดในแต่ละวัน
พระองค์ก็คงทำอาชีพหนึ่งอาชีพใดเป็นแน่
คำถามหลักในเรื่องนี้สำหรับคนที่เป็นสาวกพระคริสต์คือ
ถ้าพระเยซูคริสต์มาเกิดในหมู่บ้านของฉันอย่างกับฉันในปัจจุบันนี้ ทำงานอย่างฉัน
มีรายได้อย่างฉัน มีความสัมพันธ์กับผู้คนอย่างที่ฉันมี ลักษณะท่าทีแสดงออกอย่างที่ฉันต้องมีและแสดงออก พระคริสต์จะมีชีวิตแบบไหน? และนี่คือคำถาม ซึ่งเป็นคำถามที่เราไม่ค่อยถามตนเอง
และ ถามกันในชีวิตประจำวันของเรา หรือไม่ก็
ถามกันไม่จริงจังลงลึกพอเพื่อที่จะได้คำตอบที่แท้จริง
แท้จริงแล้ว ถ้าสาวกพระคริสต์แต่ละคนจะจริงจังในชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าในอาชีพการงาน ชีวิตในครอบครัว
ชีวิตในชุมชน และชีวิตในคริสตจักรแล้ว เราจะต้องใส่ใจทั้งงานที่ทำ และ
คนรอบข้างที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์
ด้วยชีวิตที่เป็น “คนต้นเรือน” ที่เอาใจใส่รับผิดชอบสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างและที่ทรงมอบหมายให้เราแต่ละคนดูแลเอาใจใส่ และยิ่งกว่านั้น
เราจะต้องทำตามพระประสงค์ของพระองค์คือการที่เราจะทำงานชีวิตเหล่านี้ “ให้เกิดผลดกทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน”
ในชีวิตของพระคริสต์ พระองค์กระทำทุกอย่างในชีวิตให้เกิดคุณภาพชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า แบบเรียกว่า 24/7 คือดำเนินชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้าวันละ 24
ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7
วัน เลยทีเดียว
แล้วเราคิดอย่างไรในเรื่องนี้ครับ? คริสตจักรของเราสนใจเรื่องนี้หรือเปล่าครับ?
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คริสตจักรจะใส่ใจ สอน และ
เสริมสร้างสมาชิกแต่ละคนให้เป็นสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน และ ในที่ทำงาน หรือ
ในงานที่ทำทุกวัน?
แล้วท่านมีความคิดเห็น ข้อแนะนำ อย่างไรบ้างครับ? ขอแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกันด้วยครับ!
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com; 081 289
4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น