เมื่อเราเริ่มต้นปีใหม่
หรือ วันใหม่ เราต้องเผชิญกับสองสิ่งข้างหน้าเราคือ ความเชื่อ กับ ความกลัว
แล้วในแต่ละวันใหม่เราต้องตัดสินใจเลือกว่า เราจะจาริกไปในวันนี้ด้วยความเชื่อ
หรือ ก้าวเดินไปในวันนี้ด้วยความกลัว? จากประสบการณ์ในชีวิตพบครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าเราเลือกที่จะกลัว ระวังครับ...ความกลัวมันมีอิทธิฤทธิ์มากมายเหลือเชื่อ
ที่จะหลอมละลายให้ศักยภาพความสามารถที่พระเจ้าประทานให้เรานั้นอ่อนปวกเปียก
แล้วฉุดดึงตรึงเราไว้ไม่ให้เราเริ่มต้น
แล้วผูกมัดเราไว้ไม่ให้ความเชื่อแสดงพลังในชีวิตของเราได้
แน่นอนครับ...
ผมเลือกที่จะเริ่มต้นด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์
ที่พระองค์เดินเคียงข้างผมไปในที่ทุกที่ ทุกสถานการณ์ และทุกวันด้วยครับ
แต่ถ้าเลือก
หรือ เปิดโอกาส หรือ ปล่อยให้ “ความกลัว” มีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา
แทนที่จะเป็นความเชื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดจิตใจคือ สงสัย ระแวง กังขา และ
ไม่เชื่อ ทำให้เกิดอาการ “กลัวที่จะทดลอง หรือ ไม่กล้าที่จะลงมือทำสิ่งใหม่
ในวันนั้น”
เมื่อความกลัวเข้ามายึดครองความคิดจิตใจของเรา
เราเริ่มที่จะต้องปกป้องตนเองเพื่อความปลอดภัย
เราจึงเลือกที่จะทำทุกอย่างทุกทางเพื่อตนเอง จนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
เมื่อความกลัวมีอิทธิพลในการคิดของเราในเวลานั้น
เราก็จะกลัว ไม่แน่ใจ ไม่กล้าที่จะอุทิศชีวิตแด่พระเจ้า
และไม่ยอมจะแบ่งปันชีวิตแก่คนอื่น ทำให้เราเลือกคิดสั้นคิดง่ายคิดใกล้
คิดเพื่อตนเองเท่านั้น ความกลัวทำให้เรากลับมามองและมุ่งเน้นที่อดีต
แล้วชีวิตติดในหล่มโคลนตมประสบการณ์แห่งความล้มเหลวที่ผ่านมา
เพิ่มพูนอิทธิพลความกลัวในตัวเรามากยิ่งขึ้น จนไม่กล้าที่จะมองไปในอนาคต หรือ
บ้างทำให้ “สายตาสั้น” หรือไม่ก็ “มืดบอด” จนมองไม่เห็นอนาคต
บารทิเมอัส
ขอทานตาบอดข้างถนนไปเยรีโค เมื่อเขามีโอกาสเผชิญกับพระเยซู แน่นอนว่า บารทิเมอัส
รู้ว่า สิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ เขาต้องตัดสินใจเลือกว่าตนจะทำอย่างไร
ถ้าจะให้พระเยซูคริสต์รู้ว่า เขาอยู่ที่นั่น เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
เขาต้องตะโกนเสียงดังบอกพระเยซูให้ได้ยิน พระเยซูถึงจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่น
และเขาเชื่อแน่ว่าพระเยซูจะสามารถรักษาการตาบอดของเขาได้
แต่ถ้าเลือกที่จะตะโกนร้องเสียงดังให้พระเยซูได้ยิน
เขาก็กลัวว่า เกรงว่า ผู้คนจะมองเขาว่า
เขาเป็นคนไม่สุภาพ ทำเสียงดังก่อกวนความสงบในสังคม ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย เขากลัวว่า
ผู้คนจะรับการกระทำของเขาไม่ได้ ผู้คนจะต่อต้านการกระทำของเขา
เขาจะกลายเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับ เป็นคนที่สังคมประณาม
และเขาอาจจะไม่มีที่ยืนและที่อยู่ในสังคมนั้นอีกต่อไป
แต่ถ้าเขาได้รับการรักษาจากพระเยซูคริสต์
ตาของเขาจะเห็นได้ เขาไม่ต้องขอทานพึ่งคนอื่นต่อไป
แต่ถ้าจะได้รับการรักษาจากพระคริสต์ เขาต้องทำให้พระคริสต์รู้ว่า เขาอยู่ที่นั่น
เขาต้องการการรักษาจากพระองค์ เขาเชื่อว่า
พระเยซูคริสต์จะเข้าใจและยอมรับที่เขากระทำเสียงดังเช่นนั้น เขาเชื่อว่า
พระองค์รักษาให้เขาหายได้ เขาเชื่อว่า
พระเยซูคริสต์คือผู้เปลี่ยนชีวิตของเขาได้
บารทิเมอัส
เมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสในวันนั้น เขาเลือกที่จะ เชื่อ
เป็นพลังกระทำในเวลานั้นของเขาเหนือ อิทธิพลแห่ง ความกลัว
เขาตะโกนบอกพระเยซูว่า เขาต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
หลายคนตำหนิและบอกให้เขาเงียบ แต่เขายิ่งร้องดังขึ้นว่า
“บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอท่านเมตตาข้าพระองค์ด้วยเถิด”(มาระโก 10:48 อมธ.)
ผลที่เกิดขึ้นตามมา
ทั้งสาวกและผู้คนที่นั่น “ต่างตำหนิ และ บอกให้เขาเงียบ” ถ้าเป็นปัจจุบัน
ก็คงจะมีคนพูดแรง ๆกับเขาว่า หุบปากเงียบได้ไหม? พระเยซูคริสต์มีงานอื่นที่สำคัญกว่าที่จะต้องทำ
หยุดสร้างสถานการณ์ สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย อย่าทำตัวป่วนเมืองได้ไหม? ถ้าคิดจะอยู่ในเมืองนี้ต่อก็หุบปากเสีย!
บ่อยครั้ง
ซาตานอำนาจชั่ว มักกระซิบข้างหูของเรา ด้วยหลักการ เหตุผล อ้างความสงบเรียบร้อย
อ้างความเป็นระเบียบ อ้างส่วนรวม อ้างแต่สิ่งลบ ๆ ร้าย ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
เพียงเพื่อที่จะหยุดยั้งสิ่งที่เราคิดเราเชื่อในพระเมตตาของพระเจ้าที่สามารถทำให้เกิดผลดีสร้างสรรค์ได้
แต่สำหรับพระคริสต์แล้ว
คิดต่างทำต่างจากสาวกและฝูงชนในเวลานั้น พระเยซูคริสต์สั่งสาวกของพระองค์ว่า
“ไปเรียกคนนั้นมา” (ข้อ 49) พระคริสต์ต้องการพบสัมผัสกับเรา
ไม่ว่าสถานภาพชีวิตของเราจะเป็นอย่างไรก็ตาม และ พระคริสต์ถามชายตาบอดนั้นว่า
“ท่านต้องการจะให้เราทำอะไรให้ท่าน?” (ข้อ 51)
พระคริสต์สนใจสิ่งที่เราคิด เราต้องการ สิ่งที่เราต้องการจากพระองค์
พระคริสต์ตั้งใจที่จะฟังเรา พระคริสต์ต้องการให้เราบอกพระองค์ตรง ๆ ถึงสิ่งที่เราคาดเราหวังจากพระองค์
ในทุก
ๆ โอกาส ทุก ๆ ขณะ ที่พระคริสต์สัมผัสชีวิตของเรา
พระองค์ต้องการตอบสนองคุณภาพชีวิตของเราที่ขาดที่พร่อง และสำคัญกว่านั้น
เป็นเวลาที่จะทรงเสริมเพิ่มและหล่อหลอมความเชื่อศรัทธาของเรา
และในเวลาเดียวกันเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงความคิดความเชื่อของสาวกและคนรอบข้าง
ให้มีความคิดความเชื่อและความเข้าใจถึงความรักเมตตาที่ไร้เงื่อนไขของพระคริสต์
และเข้าใจถึงพระราชกิจการให้ชีวิตของพระองค์เพื่อผู้คนจะได้ชีวิตใหม่
พระคริสต์มีพระประสงค์ให้เราเริ่มต้นปีใหม่
วันใหม่ หรือ โอกาสใหม่ ด้วยความเชื่อศรัทธาและไว้วางใจในพระประสงค์ และ
พระราชกิจที่พระองค์จะกระทำในชีวิตและเหตุการณ์ที่เราจะประสบพบเจอในแต่ละปี
แต่ละวัน และแต่ละโอกาส ให้เราตระหนักชัดเสมอว่า
ทุกขณะจิตพระคริสต์เคียงข้างไปกับเราแต่ละคน และพร้อมที่จะหนุนเสริมเพิ่มพลังกาย
ใจ จิตวิญญาณ ความคิด และ ความสัมพันธ์
ให้เราสามารถรับมือจัดการสถานการณ์ชีวิตเวลานั้น ๆ ด้วยพระกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ปีใหม่นี้...เลือกที่จะเชื่อเพื่อจะไม่ต้องกลัว!
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com;
081 289 4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น