หลักการพระวจนะการพลิกฟื้นคืนดีขั้นที่
3 คือ เห็นอกเห็นใจ
เพื่อเข้าอกเข้าใจในความรู้สึกของคนอื่น
ขั้นตอนนี้
เราจะต้องใช้ “หู” ของเรา มากกว่า “ปาก” ของเรา!
ก่อนที่เราจะพยายามแก้ไขข้อขัดแย้งใด
ๆ เราต้องฟังถึงความรู้สึกของคนอื่นอย่างใส่ใจ เปาโลให้การแนะนำว่า “แต่ละคนไม่ควรมุ่งมองหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว
แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย” (ฟิลิปปี 2:4 สมช.) คำว่า “มุ่งมองหา” ภาษากรีกในพระคัมภีร์มีความหมายว่า
การใส่ใจอย่างใกล้ชิด
มุ่งมองไปที่ความรู้สึกของผู้อื่น
ไม่ใช่มุ่งมองหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องเริ่มต้นด้วยการเห็นอกเห็นใจ
เพื่อจะเข้าอกเข้าใจ
ไม่ใช่มุ่งมองหาข้อยุติ
เราคงไม่เริ่มต้นด้วยการพยายามให้คนอื่นบอกเราถึงความรู้สึกของเขาก่อน ให้เราฟังและให้เขาได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกของเขาโดยเราไม่พยายามอธิบายเพื่อปกป้องตนเอง พยักหน้าถึงความพยายามเข้าใจของเรา
แม้ในบางเรื่องที่เราไม่เห็นด้วยก็ตาม
เราตระหนักรู้ดีอยู่ว่าความรู้สึกมิใช่ข้อเท็จจริง หรือ
มีเหตุมีผลเสมอไป ความจริงแล้ว
ความไม่พอใจ ความคับแค้นใจเป็นตัวที่กระตุ้นให้เรา “คิดและทำ” ในทางที่ไม่ฉลาดรอบคอบ กษัตริย์ดาวิดยอมรับว่า “เมื่อใจของข้าพระองค์ขมขื่น เมื่อข้าพระองค์เสียวแปลบถึงหัวใจ ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์”
(สดุดี 73:21-22 มตฐ.)
ในอีกด้านหนึ่ง พระธรรมสุภาษิตได้กล่าวไว้ว่า ความสุขุมรอบคอบจะทำให้คนเราอดทน และเกียรติยศของเขาคือการให้อภัยความผิดของคนอื่น
(สุภาษิต 19:11
อมธ.) ความอดทนมาจากปัญญา และปัญญามาจากการได้ยินได้ฟังถึงมุมมองความคิดเห็นคนอื่น
การที่เราฟังคนอื่นอย่างใส่ใจ เรากำลังบอกกับคนที่เราฟังว่า
“ความคิดเห็นของท่านมีคุณค่าสำหรับข้าพเจ้า
ความสัมพันธ์ของเราเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
และท่านเป็นผู้ที่สำคัญสำหรับข้าพเจ้า”
ดังมีคำกล่าวที่ว่า
“ผู้คนไม่สนใจว่าท่านมีความรู้อะไร
จนกว่าเมื่อเขารู้ว่าท่านสนใจและใส่ใจเขา
พระคัมภีร์บอกเราว่า การพลิกฟื้นคืนดีความสัมพันธ์ “เราแต่ละคนควรทำให้เพื่อนบ้านพอใจอันเป็นผลดีแก่เขา
เพื่อเสริมสร้างเขาขึ้น” (โรม 15:2 อมธ.)
เป็นการยอมและเสียสละเพื่อดูดซับความโกรธของผู้อื่น ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุผลก็ตาม ที่เปาโลกล่าวเช่นนี้เพราะ
พระคริสต์ได้ทำเป็นตัวอย่างแก่เราผู้เรียกตนว่าเป็นสาวกของพระองค์
และที่สำคัญคือพระคริสต์กระทำเช่นนี้เพื่อเราแต่ละคน พระองค์ทรงยอมทนความโกรธที่โหดเหี้ยมเพื่อช่วยเราให้รอด
“เพราะแม้แต่พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงทำสิ่งที่พระองค์เองพอพระทัย
แต่ตามที่มีเขียนไว้ว่า
“การหมิ่นประมาทของผู้ที่สบประมาทพระองค์ได้ตกอยู่แก่ข้าพระองค์” (ข้อ 3)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com; 081 289
4499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น