02 มีนาคม 2561

พ่อแม่ดันลูกให้ออกห่างพระเจ้า...โดยไม่ตั้งใจ?


ทำไมถึงว่าอย่างนั้น?...

(1)  ความไม่ซื่อตรง  การตีสองหน้าในชีวิตและความเชื่อ

พฤติกรรมของพ่อแม่ที่ดันให้ลูกออกห่างอย่างไม่ตั้งใจคือ  การที่ตนเองประกาศว่าตนเชื่อศรัทธาในพระเจ้า   แต่ดำเนินชีวิตที่ตรงกันข้าม  เช่น ครั้งหนึ่งมีโทรศัพท์ถึงคุณพ่อคนหนึ่งและปลายสายอีกด้านหนึ่งขอพูดสายกับแม่   แต่พ่อบอกเขาว่า แม่ไม่อยู่บ้าน   ทั้ง ๆ ที่กำลังทำอาหารในห้องครัว   และลูกชายวัย 8 ขวบของเขาก็อยู่ในห้องที่เขาโทรศัพท์   รับรู้เรื่องการ “โกหก” ของพ่อทั้งหมด    พฤติกรรมของพ่อที่บอกว่าตนเป็นเป็นคริสตชนครั้งนี้กำลังบอกกับลูกของตนอย่างไม่ตั้งใจว่า  ถ้าจะโกหกก็โกหกได้!    และลูกก็เรียนรู้โดยไม่รู้ตัวว่า  คริสตชนถ้าต้องโกหกในบางสถานการณ์ก็โกหกได้   

เมื่อพ่อแม่มีพฤติกรรมเมื่ออยู่ในคริสตจักรแบบหนึ่ง   แต่มีพฤติกรรมอีกแบบหนึ่งในบ้าน   ลูกก็จะเห็นพฤติกรรมของคริสตชนว่า เป็นพฤติกรรมสองมาตรฐานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน   คริสตชนก็หน้าซื่อใจคด หรือ ตีสองหน้าก็ได้ถ้าจะต้องทำ?   นี่มิเพียงแต่เป็นการดันให้ลูกออกห่างจากคริสต์จริยธรรมเท่านั้น   แต่เป็นการดันให้ลูกมีชีวิตที่ถ่างห่างออกจากพระเจ้าโดยพ่อแม่ไม่ได้ตั้งใจ!

(2)   ผลักดันลูกให้รับเชื่อ หรือ ติดตามพระเจ้า

พฤติกรรมแบบ “ปากอย่างใจอย่าง” เมื่อเราพยายามดันให้ลูกติดตามพระเจ้า และ มีสัมพันธภาพกับพระองค์  เราก็อาจจะผลักดันให้ลูกออกห่างจาพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน   ขอตั้งข้อสังเกตว่า พระเยซูคริสต์ไม่ได้ผลักดัน หรือ กดดันให้ผู้คนติดตามพระองค์   แต่พระองค์บอกเพียงว่า “จงตามเรามา” เท่านั้น(มัทธิว 16:24)   พระองค์มิได้กดดันว่า “ท่านต้องตามเรามา” หรือ “ถ้าจะให้ดีท่านต้องตามเรามา”

ด้วยความหวังดี  พ่อแม่บางคนได้กดดันให้ลูกของตนเองให้ได้รับความรอด   การสื่อสารเช่นนี้  ลูกอาจจะทำตัวเหมือนว่าลูกยอมติดตามพระคริสต์เมื่อยู่ต่อหน้าพ่อแม่   แต่เมื่อลับหลังพ่อแม่ชีวิตของลูกกลับเป็นอีกอย่างหนึ่งที่แตกต่างตรงกันข้ามก็ได้    หรือไม่ก็ลูกทำตามเพราะต้องการเอาใจพ่อแม่   เพื่อหวังบางสิ่งจากพ่อแม่

แต่เมื่อชีวิตประจำวันของพ่อแม่มิได้ดำเนินตามคำสอนและแบบอย่างของพระคริสต์อย่างต่อเนื่อง   มีพฤติกรรมสองแบบสองมาตรฐานแล้ว  ย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตจิตวิญญาณของลูก  และ  ยิ่งจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ถ้าพ่อแม่คู่นั้นพยายามผลักดัน หรือ กดดันลูกให้รับเชื่อในพระเจ้า

(3)  วางมือ  อ่อนข้อ ...ในความรับผิดชอบของพ่อแม่คริสตชน

เมื่อพ่อแม่คริสตชนเลิกรา ละเว้น หรือว่างเว้น ในบทบาทพ่อแม่คริสตชนที่จะต้องใส่ใจฟูมฟักชีวิตจิตวิญญาณของลูกทั้งการรับผิดชอบให้ลูกเข้ามีส่วนร่วมในชั้นเรียนรวีวารศึกษา และ ในกลุ่มอนุชน หรือ เยาวชนในคริสตจักร   ถ้าพ่อแม่คริสตชนไม่มีความรับผิดชอบดังกล่าว   แล้วใครจะมารับผิดชอบแทนได้?

ยิ่งในยุคปัจจุบัน   เวลาวันเสาร์วันอาทิตย์พ่อแม่คริสตชนหลายต่อหลายคน   พยายามยัดเยียดกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตด้านต่าง ๆ ให้กับลูก   และถ้าต้องเลือกระหว่าง เวาลาสร้างเสริมทักษะชีวิตจิตวิญญาณของลูก กับ เวลาเสริมทักษะชีวิตในสังคมทันสมัยแล้ว   พ่อแม่คริสตชนจำนวนมากจะเลือก หรือ ใจอ่อนให้ลูกเลือกกิจกรรมเสริมทักษะชีวิตสังคมทันสมัยมากกว่า  พ่อแม่คริสตชนอาจจะไม่ได้คิดรอบคอบ   แต่กรณีนี้ตั้งใจครับ?

อีกด้านหนึ่งในพันธกิจการเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณของเด็ก เยาวชน และวัยรุ่นของคริสตจักร    ปัจจุบันนี้คนที่มีของประทานในพันธกิจด้านเหล่านี้มีการถวายตัวรับใช้ลดน้อยถอยลงอย่างมาก   หลายคริสตจักรจึงต้องจ้างคนที่จบจากพระคริสต์ธรรมมารับใช้ในงานดังกล่าว   ขอตั้งข้อสังเกตว่า  เมื่อพ่อแม่ไม่ได้เข้ามารับผิดชอบในพันธกิจสร้างเสริมชีวิตจิตวิญญาณของสมาชิกรุ่นใหม่ของคริสตจักร   ก็พลอยไม่ทุ่มเทที่จะช่วยให้ลูกเข้ารับการฝึกฝนและเสริมสร้างชีวิตจิตวิญญาณไปด้วย

เรียกว่าพ่อแม่ วางมือ อ่อนข้อในความรับผิดชอบความเป็นพ่อแม่คริสตชนของตนก็ว่าได้?

(4)  เปรียบเทียบลูกกับเยาวชนคนอื่นในคริสตจักร

การเปรียบเทียบมักจะเปรียบเทียบว่าลูกของตนเองทำไมไม่ทำเหมือน เยาวชนคนนั้น  วัยรุ่นคนนี้ในคริสตจักร   นั่นหมายความว่า พ่อแม่ตัดสินลูกลงไปแล้วว่า  สู้เยาวชนคนหนุ่มสาวคนอื่นในคริสตจักรไม่ได้   การกระทำอย่างนี้เป็นการดันให้ลูกออกห่างจากคริสตจักร และ ออกห่างจากพระเจ้าโดยพ่อแม่ไม่รู้ตัว

อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นอีกประการหนึ่งที่เราอาจจะคิดไม่ถึงคือ  ลูก ๆ ของเราอาจจะไม่ปลีกตัวเองออกไปจากคริสตจักรทันที   แต่เขาต้องการเอาใจพ่อแม่เพื่อหวังจะได้อะไรบางอย่างจากพ่อแม่   เมื่อพ่อแม่เอาลูกไปเปรียบกับเพื่อนเยาวชนคนอื่น   ดังนั้น ลูกจึงพยายามทำตนให้เหมือนเพื่อนเยาวชนคนนั้นที่พ่อแม่เอาไปเปรียบเทียบ   แทนที่ลูกของเราจะพัฒนาชีวิตประจำวันตามพระวจนะ และ ตามแบบพระคริสต์ให้มากยิ่งขึ้น   นั่นหมายความว่า  แม้ลูกไม่ได้ออกจากคริสตจักร แต่ชีวิตจิตวิญญาณก็มิได้รับการสร้างเสริมและพัฒนาขึ้นตามคำสอนและแบบอย่างของพระคริสต์ แต่กลับไปเลียนแบบชีวิตเพื่อน และถ้าวันหนึ่ง เพื่อนเยาวชนคนนั้นที่พ่อแม่เปรียบเทียบเกิดผิดพลาดในการดำเนินชีวิต แล้วลูกของเราจะคิดอย่างไร  เข้าใจอย่างไร หรือจะเลียนแบบชีวิตผิดอย่างเขาด้วย?

(5)  ภาพรวมและภาพหลัก

ภาพรวม และ ภาพหลักที่จะหนุนเสริมให้ลูกหลานของเรายังคงยืนมั่นคงบนรากฐานความเชื่อในพระเจ้า   และมีชีวิตที่พบกับพระคริสต์ และ สัมพันธ์กับพระองค์ ในชีวิตประจำวันของเขา   สิ่งสำคัญคือ  เขาต้องมีชีวิตที่พบกับพระเจ้าในชีวิตของเขาเอง   เผชิญหน้ากับพระองค์ในชีวิตแต่ละวัน   มีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา

ประสบการณ์ชีวิตของลูกกับพระเจ้าในอดีตที่ผ่านมา  ได้เสริมสร้างความเชื่อศรัทธาของลูกที่เป็นอยู่ในวันนี้   และการที่เขามีประสบการณ์สัมผัสกับความรักเมตตาของพระองค์วันต่อวัน ในวันนี้  ในปัจจุบันนี้   คือตัวเสริมสร้างความเข้มแข็งในความเชื่อ  ความไว้วางใจในพระเจ้า  และการดำเนินชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นในอนาคตด้วย

พ่อแม่ และ ปู่ย่าตายาย มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการรับผิดชอบร่วมกับพระเจ้าที่จะช่วยและเสริมสร้างให้ชีวิตหยั่งรากลงในความเชื่อ และ วางใจในพระเจ้า   อย่าโยนภาระความรับผิดชอบที่เป็นความเป็นความตายของลูกไปให้คริสตจักร   แต่พ่อแม่คือตัวหลักในความรับผิดชอบนี้ที่พระเจ้าทรงมอบหมาย

“...​พวก​ท่าน​จง​สอน​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​แก่​บุตร​หลาน​ของ​ท่าน
จง​พูด​ถึง​ถ้อย​คำ​เหล่า​นี้​เมื่อ​ท่าน​อยู่​ใน​บ้าน และ​เมื่อ​ท่าน​เดิน​อยู่​ตาม​ทาง
เมื่อ​ท่าน​นอน​ลง​หรือ​ลุก​ขึ้น
ท่าน​จง​เขียน​คำ​เหล่า​นี้​ไว้​ที่​เสา​ประตู​บ้าน และ​ที่​ประตู​(บ้าน)ของ​ท่าน
เพื่อ​อายุ​ของ​พวก​ท่าน​และ​อายุ​ของ​บุตร​หลาน​ของ​ท่าน​จะ​ได้​ยืน​นาน​บน​แผ่น​ดิน
ซึ่ง​พระ​ยาห์​เวห์​ทรง​ปฏิ​ญาณ​ที่​จะ​ประ​ทาน​แก่​บรรพ​บุรุษ​ของ​ท่าน
ตราบ​เท่า​ที่​ฟ้า​สวรรค์​อยู่​เหนือ​โลก” (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:19-21 มตฐ.)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
Prasit.emmaus@gmail.com;  081 289 4499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น