ถ้าครอบครัวคือ
“หัวหอก” และ “แนวหน้า” ในการทำพันธกิจคริสตจักร อนุชนจะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีพลังชีวิตให้เกิดผลร้อยเท่าพันทวี
ด้วยพลังแห่งพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของเขา
นั่นหมายความว่า...การทำพันธกิจอนุชนจะต้องมีพระกิตติคุณของพระคริสต์เป็นแกนกลางแห่งการขับเคลื่อนพลังชีวิตของพวกเขา
1.
เสียดายเวลา...ถ้าทำพันธกิจอนุชนโดยไม่มีพ่อแม่เข้าร่วมด้วย...
การทำพันธกิจอนุชนอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องเป็น
“พันธกิจอนุชนและครอบครัว” คริสตจักรจะต้องใส่ใจเสริมสร้างพ่อแม่ให้เป็นผู้นำในชีวิตจิตวิญญาณสำหรับลูกของเขา
และเตรียมเครื่องมือต่าง ๆ สำหรับพ่อแม่เพื่อจะใช้ในการนำลูกของเขาอย่างมีประสิทธิภาพ
พันธกิจอนุชนที่เปี่ยมประสิทธิภาพต้องเป็นพันธกิจที่ทุ่มเททำกับทั้งอนุชนและพ่อแม่ของอนุชนไปด้วยกัน
2.
ล้มเหลวแน่...ถ้าคิดทำพันธกิจอนุชนตามกระแสสังคมโลก
พันธกิจอนุชนมิใช่การทำกิจกรรมสร้างความบันเทิงแก่อนุชนอย่างที่กระแสสังคมโลกทำกัน
การที่กลุ่มอนุชนจะมีความสนุกสนานมิใช่สิ่งต้องห้ามหรือสิ่งที่ผิด เมื่อเราเป็นครอบครัวในพระคริสต์แน่นอนว่าเราควรมีความสุขชื่นชมยินดีในความสัมพันธ์ของเรา
ถ้าพันธกิจอนุชนในคริสตจักรจะคิดใช้เกม หรือ กิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน หรือ
สิ่งที่อนุชนกำลังสนใจในเวลานี้ เช่น เกมคอมฯ ไอโฟน กีฬา งานเลี้ยง เดินห้าง และ
ฯลฯ มาเป็นกิจกรรมดึงดูด
พันธกิจอนุชนจะประสบความล้มเหลวในที่สุด พันธกิจอนุชนถ้าสามารถดึงดูดอนุชน-เยาวชนในการค้นหาความมาย จุดประสงค์ ความหวัง ศานติ ความชื่นชมยินดี และความรักที่เมตตาเสียสละแบบพระคริสต์
และนี่ควรจะเป็นแรงดึงดูดความสนใจหลักในการทำพันธกิจอนุชน
3.
อย่ามองว่า...อนุชนไม่สนใจในการคิด การค้นหา และการเรียนรู้
อนุชนถูกท้าทายในด้านปัญญาและวิชาการในโลกแห่งการเรียนรู้
แต่พันธกิจอนุชนมิใช่ทำตัวเป็นอย่างโรงเรียนในการยัดเยียด ข้อมูล ความรู้ลงใน
“หัว” ของอนุชน แต่เราต้องมองเห็นถึงสมรรถนะของอนุชนในการเรียนรู้ ด้วยการเสริมหนุนให้เยาวชนในการค้นหา
เพื่อค้นพบคุณค่าและความหมายในชีวิตของตน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ถึงคุณค่าและความหมายในพระวจนะของพระเจ้า
ในจุดยืนทางคริสต์ศาสนศาสตร์ที่เราเชื่อ และเรียนรู้ถึงสัจจะความจริงในพระประสงค์ของพระเจ้า
ผ่านกระบวนการค้นหา เรียนรู้ในชีวิตประจำวันบนรากฐานพระวจนะ
4.
“พระกิตติคุณ” เป็นแก่นหลัก หรือ หัวใจของการเรียนรู้และเข้าใจที่สำคัญของอนุชน
คงไม่สามารถรับประกันได้ว่า
เมื่อเรียนรู้ถึงหลักแก่นแห่งพระกิตติคุณแล้วอนุชนคนนั้นจะรับพระกิตติคุณในชีวิตของเขาหรือไม่
แต่อย่างน้อยที่สุด อนุชนจะเข้าใจคริสต์ศาสนาในทางที่เข้าใจพระกิตติคุณอย่างเรียบง่ายคือ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการช่วยกู้ให้เราแต่ละคนกลับคืนดีกับพระเจ้า ผ่านชีวิต
พระราชกิจ การสิ้นพระชนม์ และ การเป็นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ และการนำแผ่นดินของพระเจ้ามาสู่มนุษย์และสังคมโลก
หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ประการแรก อนุชนจะรู้ว่าคริสต์ศาสนาเป็นเรื่องที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อเราแต่ละคนโดยทางพระเยซูคริสต์ ประการที่สอง
พระคริสต์ได้เปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของเราให้มีชีวิตตามพระประสงค์ ประการที่สาม
เราแต่ละคนจึงดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ดังกล่าว ยิ่งถ้าอนุชนเข้าใจพระกิตติคุณชัดเจนแค่ไหน
โอกาสที่อนุชนคนนั้นจะติดสนิทกับพระคริสต์และมีชีวิตเหมือนพระองค์ในชีวิตประจำวันมากขึ้นเท่านั้น
5.
อนุชนเป็นคนที่มี “ความจริงใจและจริงจัง” มากกว่า “คนชอบสนุก”
หลายคนมักคิดว่า
คนที่จะทำพันธกิจอนุชนจำเป็นต้องเป็นคนที่มีพลัง ชอบสนุก แต่ในความเป็นจริงอนุชนไว้วางใจ สนใจ และ ฟังคนที่จริงใจ คนที่มีความลึกซึ้งในพระกิตติคุณและมีความเข้าใจว่าพระเจ้ารักเขาแค่ไหน
คนเหล่านี้มักมีพลังดึงดูดความสนใจของอนุชน อนุชนจะฟังคนประเภทนี้ คุณสมบัติเหล่านี้มีความสำคัญกว่าเรื่องอายุ
หรือ ความตลกโปกฮา โดยทั่วไปมักมีความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนว่า คนที่ไม่มีคุณสมบัติแบบคนสนุกเฮฮาไม่เหมาะสมกับการทำพันธกิจอนุชน
ผู้ใหญ่หรือคนที่มีอายุมากกว่าอนุชนสามารถเป็นอาสาสมัครหรือร่วมรับใช้ในพันธกิจอนุชน
แม้ดูเหมือนว่าเขาไม่มีพลังมากมาย หรือ สิ่งที่คล้ายคลึงกับอนุชนก็ตาม
6.
การสื่อสารพระวจนะสำหรับอนุชน
คำกำชับของเปาโลที่มีถึงทิโมธี
“จงประกาศพระวจนะ” (2ทิโมธี 4:2 อมธ.) ก็เป็นคำกำชับที่สำคัญสำหรับพันธกิจอภิบาลอนุชน
และ พันธกิจการอภิบาลผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะมีอายุเท่าใดก็ตามพันธกิจพระวจนะของพระเจ้าเป็นพันธกิจที่
“หนัก” แน่นอนว่า การสอนพระวจนะ พระกิตติคุณ จะมีวิธีการสอนและการสื่อให้สอดคล้องเหมาะสมตามวัย
การใช้ตัวอย่างที่เข้ากับประสบการณ์ชีวิตกลุ่มวัยของผู้เรียน อีกทั้งต้องสอดคล้องตามบริบทของแต่ละภาษา
วัฒนธรรม
วิธีการที่สำคัญหนึ่งในการสอนที่นำถึงการตัดสินใจของผู้เรียน คือการสอนพระวจนะของพะเจ้าแบบอรรถาธิบายเจาะลึกลงในความหมายที่สามารถนำสู่การตัดสินใจ
นำสู่การปฏิบัติ ทำให้เติบโตด้านชีวิตจิตวิญญาณ และฝึกฝนเสริมสร้างให้ทำพันธกิจและรับใช้
7.
คริสตจักรสามารถเสริมสร้างอนุชนให้เป็นคนรับใช้ในคริสตจักรและชุมชน
เป็นความจริงว่า
ปัจจุบันนี้อนุชนอยู่กับเราอยู่กับคริสตจักรไปในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น จากนั้นเขาต้องไปศึกษาต่อ ไปทำงาน มีครอบครัว ซึ่งหลายคนก็ไปอยู่ในต่างถิ่นห่างไกลจากคริสตจักร
ที่จะเหลือคงอยู่ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกผู้ใหญ่ในคริสตจักรของเราที่มีจำนวนจำกัด แต่คริสตจักรจะไม่ละเลยมองข้ามการเสริมสร้างอนุชน
“ในการทำพันธกิจคริสตจักรและชุมชน” เพื่อวางรากฐานความเชื่อที่เข้มแข็งขึ้น และที่สำคัญเตรียมเขาให้พร้อมที่จะเป็นสาวกของพระคริสต์ที่มีชีวิตในการรับใช้คริสตจักรและชุมชน
เพื่อเมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตามเขาจะมีชีวิตประจำวันในการรับใช้คนรอบข้างด้วยความรักเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์
เพื่อเขาจะเป็นสาวกที่เติบโตขึ้นสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์ (เอเฟซัส 4:13) แม้ว่าภายหลังเขาจะต้องไปเป็นสมาชิกในคริสตจักรอื่นที่เขาอยู่อาศัยก็ตาม
อนุชนเป็นผู้ที่มีศักยภาพมากในการรับใช้
ดังนั้นพันธกิจอนุชนจะต้องทุ่มเทและจริงจังในการสร้างเสริมอนุชนแต่ละคนได้เป็นคนรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชุมชนในชีวิตประจำวัน
8.
จะเป็นไรไป...ถ้าคริสตจักรของท่านมิได้เป็นผู้เก็บเกี่ยวผลที่เกิดขึ้น
เปาโลเคยกล่าวไว้ว่า
“ข้าพเจ้าปลูก อปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต” (1โครินธ์ 3:6 อมธ.) บางครั้ง ผู้ทำพันธกิจอาจจะพบกับความสุขที่ได้เห็นอนุชนกลับใจ
หรือ เติบโตขึ้นในความเชื่อ และ การเชื่อฟังแบบก้าวกระโดด แต่บางครั้ง
อนุชนได้รับการเรียกร้องให้มีความสัตย์ซื่อในความเชื่อในช่วงเวลาที่ทุกข์ยากลำบาก และบางครั้งเมล็ดแห่งพระวจนะและพระกิตติคุณที่หว่านลงไปในชีวิตจิตใจไม่ค่อยเกิดผล
ท่านครับ เราต้องตระหนักเสมอว่า
การเกิดผลเป็นของประทานจากพระเจ้า เราได้รับการทรงเรียกให้เป็นพยานที่สัตย์ซื่อของพระองค์
ไม่ว่าใครเป็นผู้ปลูกใครเป็นคนรดน้ำ และใครเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลก็ตาม
9.
ในฐานะผู้นำของอนุชน เราต้องตระหนักชัดถึงอัตลักษณ์ของเราในพระคริสต์
ในฐานะผู้ทำพันธกิจ
หรือ เป็นผู้นำพันธกิจอนุชนเราต้องถามตนเองเสมอว่า “ความมีคุณค่าในตัวฉันขึ้นอยู่กับการได้รับความนิยมชมชอบ
การยอมรับ หรือ ความคิดเห็นของอนุชนที่มีต่อฉันหรือเปล่า” บางท่านอาจจะรู้สึกว่า
คำถามนี้ฟังดูน่าขำ แต่บ่อยครั้งที่เราค้นหาอัตลักษณ์ของตนเองจากการดูว่าอนุชนชอบ
ยอมรับตัวเราหรือไม่
แม้บางครั้งอาจจะไม่ทันรู้ตัวก็ตาม
ท่านที่ทำพันธกิจอนุชนทุกท่านครับ
ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระคริสต์ไถ่ถอนท่านมาโดยพระโลหิตของพระคริสต์ และได้แยกท่านไว้เพื่อพันธกิจแห่งพระกิตติคุณและเพื่อการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
และต้องไม่ลืมว่า อัตลักษณ์ของท่านที่มีอยู่ได้รับจากพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น
จงออกไปรับใช้อนุชนของท่านด้วยความชื่นชมยินดีและมีเสรีในชีวิต ถึงแม้มิใช่ทุกคนที่มองว่าท่านเหมาะสมในพันธกิจนี้ก็ตาม
การทำพันธกิจอนุชนมีคุณค่าสำคัญอย่างยิ่ง
การวางรากฐานพระวจนะในชีวิตของอนุชนเป็นยุทธศาสตร์อันสำคัญอย่างสูงในการพัฒนาชีวิตในขั้นตอนต่าง
ๆ ของอนุชน ผู้อภิบาลอนุชนได้หว่านเมล็ดพระกิตติคุณลงในจิตใจและจิตวิญญาณของอนุชน ซึ่งเป็นการวางเส้นทางการเจริญเติบโตในวิถีชีวิตของพวกเขา
และสร้างผลกระทบต่อชีวิตและการทำพันธกิจของคริสตจักร และนี่คือการร่วมและสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ในโลกนี้ด้วย
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น