สิ่งที่เราตื่นเต้นคิดว่าเป็น
“นวัตกรรม” ใหม่ของคริสตจักรท้องถิ่น ที่เกิดเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ในตอนที่ผู้คนต้องรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล
และ สังคมนั้น นั่นไม่ใช่ “นวัตกรรม” แต่เป็น
“การปรับตัวต่างหาก”
แต่ถ้าคริสตจักรของเราต้องการเติบโตเข้มแข็งจริงในชีวิตและการทำพันธกิจ
การรับใช้ผู้คนในสังคม เข้าถึงคนใหม่ ๆ นั่นหมายความว่าในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องการ
“นวัตกรรม” อีกมากมาย ด้วยการการทดลองทำและถอดบทเรียนรู้อย่างเป็นกระบวนการ
นั่นหมายความว่าเราต้องมีความกระตือรือร้น
อยากรู้อยากเห็น และขับเคลื่อนทดลองอย่างร้อนรน ทุ่มเท และที่สำคัญครับ จะไม่ยอมเลิกราท้อถอย
ตัวอย่างจริงที่พบในวิกฤติโควิด
19 ครั้งนี้ พบว่ามีศิษยาภิบาลหญิงท่านหนึ่ง ท่านเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรชนบท-ชานเมือง
ท่านต้องรีบปรับตัวเรื่องการนมัสการพระเจ้าที่ต้องทำกันในครอบครัวผ่านการถ่ายทอดออนไลน์
แต่ศิษยาภิบาลท่านนี้เธอมิได้ทำการนมัสการและเทศนาออนไลน์เท่านั้น
เพราะเธอตระหนักชัดว่า คริสตจักรชนบท-ชานเมืองเป็นชุมชนที่หล่อเลี้ยงและผูกพันด้วยสายใยแห่งความสัมพันธ์
ดังนั้น เธอจึงยังโทรศัพท์ไปหาสมาชิกแต่ละคน อธิษฐานด้วยกันทางโทรศัพท์ ปรึกษากันเรื่องชีวิต
ความเป็นอยู่ สุขภาพ อาชีพการงาน และ รายได้ของครอบครัว จากการใช้โทรศัพท์ และ
ไลน์ในการเยี่ยมเยียนเป็นรายครอบครัว ทำให้เธอรู้ถึงสภาพชีวิต จิตใจ
และจิตวิญญาณของสมาชิกแต่บ้าน
จากนั้น
เธอเลือกที่จะนัดเวลาเพื่อขอไปเยี่ยมที่บ้าน ในบางครอบครัวที่เธอไปพบว่า
ต้องการการหนุนเสริม
แน่นอนครับเธอระมัดระวังเรื่องมาตรการการป้องกันการแพร่เชื้ออย่างเต็มที่ เธอสามารถเข้าถึงผู้คนในแต่ละครอบครัว
และหาทางหนุนเสริมช่วยเหลือในสถานการณ์วิกฤติจำเป็นของครอบครัวนั้น ครอบครัวที่สถานการณ์หนักหนาสาหัสก็นำปรึกษาคณะธรรมกิจออนไลน์
เพื่อศึกษา แสวงหาแนวทางในการอภิบาลเชิงรูปธรรมต่อไป
ผมประทับใจมากครับ
นอกจากที่เธอจัดการนมัสการ-เทศนาออนไลน์แล้ว เธอยังนัดพบกับคนในครอบครัวที่อยู่ใกล้กันในจุดต่าง
ๆ ครั้งละ 2-3 ครอบครัว มีโอกาสพบปะ พูดคุย ถามถึงความทุกข์สุขของกันและกัน อธิษฐานด้วยกัน
ทบทวนเนื้อหาข่าวสารคำเทศนาในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีอะไรบ้างที่เป็นกำลังใจ
หนุนเสริม และนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้บ้าง อะไรที่ทำจริงในชีวิตประจำวันไม่ได้
เพราะอะไร และจะทำอย่างไรต่อไป
ขอตั้งข้อสังเกตว่า
เธอมิได้เน้นความสำคัญที่เทคนิค/วิธีการ หรือ เทคโนโลยี เท่านั้น แต่เน้นถึงเนื้อหาของการทำพันธกิจกับความเหมาะสมสอดคล้องต่อความจำเป็นต้องการในการดำเนินชีวิตประจำวันของสมาชิก
นอกจากนั้น
ศิษยาภิบาลหญิงอีกท่านหนึ่งเมื่อเธอได้ทราบถึงปัญหาของสมาชิกในการจำหน่ายสินค้าที่ตนปลูก/ผลิตในครัวเรือน
เธอถ่ายภาพ แล้วนำมาประชาสัมพันธ์ในเฟสบุ๊คของเธอ เพื่อช่วยหาผู้ซื้อผ่านทางออนไลน์
ซึ่งเป็นอีกหนทางหนึ่งในการช่วยเรื่องรายได้ในครัวเรือนของสมาชิก
ศิษยาภิบาลชายท่านหนึ่ง
ที่เป็นชนชาติพันธุ์ แต่ทำพันธกิจในพื้นที่อีสาน ท่านเข้าไปในชุมชน และสามารถเข้าถึงครอบครัวต่าง
ๆ ของพี่น้องในชุมชน ท่านไปพร้อมกับสมาชิก 2-3 คนจากคริสตจักร ทีมงานทำความรู้จัก ถามถึงความเป็นอยู่ของชีวิต
และเมื่อพบว่าหลายครอบครัวกำลังประสบกับเรื่องรายได้ในครอบครัว จนกระทบต่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวัน
ทีมงานของท่านและคริสตจักรร่วมกันจัดทำ “ถุงแห่งพระพร”
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของครอบครัวที่ได้ไปเยี่ยม และถ้าเจ้าบ้านอนุญาตทีมงานก็จะนำอธิษฐานเผื่อชีวิตของผู้คนในครอบครัวนั้น
พร้อมกับได้บอกว่าพวกตนเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงทำเช่นนี้ ซึ่งเป็นการนำเสนอพระกิตติคุณผ่านการเอาใจใส่และอภิบาลชีวิตเพื่อนบ้านในยามที่ชีวิตมีวิกฤติ
มีหลายคนที่เข้ารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ กระบวนการนี้เป็นการเข้าถึงชีวิตชุมชน และเป็นการสร้างให้ทีมงานให้มีชีวิตที่เป็นสาวกพระคริสต์
และเรียนรู้รูปแบบ กระบวนการในการสร้างคนอื่นให้เป็นสาวกพระคริสต์ด้วย
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้
คือผลที่ได้รับจากการปรับวิธีการทำพันธกิจ และ
การอภิบาลชีวิตในคริสตจักรและชุมชนในยามวิกฤติ และถ้ามีโอกาสชวนกันวิเคราะห์ สังเคราะห์
ถอดบทเรียนรู้ และนำสิ่งที่เรียนรู้จากการทดลองทำนี้มาประมวลเชื่อมโยงให้เห็นเป็นกระบวนการ
นั่นจะเกิดเป็น “นวัตกรรมในการอภิบาลชีวิตคริสตจักรและชุมชน” สำหรับคริสตจักรของตน
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น