คริสตชนหลายต่อหลายท่านที่ต้องปล้ำสู้กับความเข้าใจพระคัมภีร์ คริสตชนบางคนบางกลุ่มเข้าใจพระคัมภีร์บางตอนที่แตกต่างไปจากคริสตชนคนอื่นกลุ่มอื่น และก็นำไปสู่การมีหลักความเชื่อในบางประเด็นที่แตกต่างกัน จนทำให้เกิดการแบ่งแยกแตกเป็นลัทธินิกายมากมาย นั่นเป็นผลกระทบหนึ่งจากการที่เราอ่านพระคัมภีร์อย่างไม่ถูกต้อง
พระเจ้าประทานความรับผิดชอบแก่เราในการจัดการพระวจนะของพระเจ้าให้ดีที่สุด
“จงอุตส่าห์ถวายตัวท่านเองที่พระเจ้าทรงรับรองแล้วแด่พระองค์
เป็นคนงานที่ไม่อับอาย สอนพระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง” (2ทิโมธี 2:15 มตฐ.) แม้แต่พวกเราที่ต้องการรับใช้พระวจนะของพระเจ้าด้วยความจริงใจอย่างยาวนานก็สุ่มเสี่ยงต่อการผิดพลาดในการจัดการพระวจนะของพระเจ้า
ความผิดพลาดในการอ่านพระคัมภีร์
3 ประการ
เราต้องการรู้พระคัมภีร์อย่างแท้จริงถูกต้อง
เราทุ่มเทเวลาในการอ่านและศึกษาพระวจนะ
แต่ถ้าเราใช้วิธีการตีความที่ไม่สมเหตุสมผลเราจะเข้าใจพระคัมภีร์ในตอนนั้น ๆ
ผิดพลาด และคลาดเคลื่อนจากสิ่งที่พระเจ้าให้แก่เรา ซึ่งเราพอประมวลได้ว่าในปัจจุบันนี้เรายังมีแนวโน้มการตีความพระคัมภีร์ที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
3 แนวทาง
1. การนำวัฒนธรรมมาประยุกต์ใช้กับพระคัมภีร์
แทนที่จะใช้พระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ในวัฒนธรรมของตน
แนวโน้มการตีความแบบเอาวิธีคิด
หลักการ แนวทางตามวัฒนธรรมของเราเป็นตัวหลักดูจะเป็นวิธีการตีความพระคัมภีร์ที่นิยมกันในสมัยนี้
นี่มิใช่คนในสังคมที่ทำเช่นนี้ต่อพระคัมภีร์เท่านั้น แต่หลายต่อหลายคนในคริสตจักรกำลังใช้การตีความแบบนี้อยู่
แม้แต่ครูสอนพระคัมภีร์และผู้อภิบาลบางท่าน นักเทศน์บางคนก็ยังตีความพระคัมภีร์ตามกระแสวัฒนธรรมสังคมในสิ่งที่เขาสอนสมาชิกคริสตจักร
บางครั้งการตีความแบบนี้เกิดจากการที่ผู้ตีความเกิดความเข้าใจผิดพยายามตีความพระคัมภีร์ตามที่ตนเข้าใจให้เชื่อมสัมพันธ์กับกระแสและความเข้าใจในเวลานั้น
บางครั้งการตีความมุ่งเน้นเอียงไปเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยละเลยอีกด้านหนึ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ตัวอย่างเช่น เน้นเรื่องความรักเมตตาของพระเจ้าและพระคุณของพระองค์
แต่มองข้ามหรือละเลยเรื่องความยุติธรรม และ ความบริสุทธิ์ของพระองค์ หรือบางครั้งเราต้องยอมตีความเช่นนั้นเพราะเราไม่สามารถต้านกระแสของสังคม
การเมือง หรือวัฒนธรรมในเวลานั้น แต่เราต้องตระหนักชัดเสมอว่า ไม่มีคริสตชนคนใดที่จะมีสิทธิอำนาจที่จะไปปรับแต่ง
แก้ไข เปลี่ยนแปลงพระคำที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าสะท้อนออกถึงพระลักษณะและบุคลิกภาพของพระองค์
พระเจ้าทรงเป็นองค์สัจจะความจริงแท้และยังทรงเป็นผู้กำหนดความจริงแท้นั้น ดังนั้น
พระคำของพระองค์จึงเป็นสัจจะความจริง (ยอห์น 17:17) พระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลง (ดู ยากอบ 1:17 อมธ.) ดังนั้น พระคำของพระองค์จึงไม่เปลี่ยนแปลงแต่มั่นคงตลอดนิรันดร์
“เราคือพระยาห์เวห์ผู้ไม่ผันแปร...” (มาลาคี 3:6ก. อมธ.)
พระคัมภีร์นั้นเหมาะสมสัมพันธ์กับปัจจุบันและยุคต่อ
ๆ ไป พระวจนะของพระเจ้ามิใช่สิ่งที่ตายตัวที่ถูกผูกมัดโดยเวลา พระวจนะของพระเจ้านั้นก้าวข้ามผ่านสิ่งกีดขวางทางวัฒนธรรม
ความแตกต่างทางภาษา หรือ ขอบเขตเส้นแบ่งแดนทางภูมิศาสตร์
วัฒนธรรมนั้นเปลี่ยนแปลงปรับตนเองอยู่เสมอ แต่พระวจนะของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง พระคัมภีร์เป็นสัจจะความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงดังนั้นจึงสามารถใช้วัดทุกสิ่งได้
เมื่อวัฒนธรรมช่วงใดเกิดความขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงถูกต้องเสมอ
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
แต่พระองค์ทรงอยู่ใกล้
พระบัญชาของพระองค์ล้วนเป็นความจริง
ข้าพระองค์เรียนจากกฎเกณฑ์ของพระองค์มานาน
พระองค์ทรงตั้งกฎเกณฑ์นั้นไว้เป็นนิตย์” (สดุดี
119:151-152 อมธ.)
2.
เอาตนเองเป็นศูนย์กลางในการตีความพระคัมภีร์
พระคัมภีร์เป็นเรื่องราวของการเปิดเผยตนเองของพระเจ้า
เป็นเรื่องที่เปิดเผยโดยพระเจ้าเกี่ยวกับพระองค์เอง ใช่ พระวจนะของพระองค์
นั้นสำหรับเรา วัตถุประสงค์ของพระคัมภีร์เพื่อเปิดเผยถึงพระเจ้า ถึงลักษณะบุคลิกของพระองค์
พระประสงค์ของพระองค์ และวิถีทางของพระองค์ รวมถึงการที่พระองค์ประทานความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์
“...ตั้งแต่เด็กมาแล้ว
ท่านก็ได้รู้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถทำให้ท่านมีปัญญาที่จะมาถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2ทิโมธี 3:15 อมธ.)
แต่ในศตวรรษที่ 21 เรารับอิทธิพลครอบงำให้มี
“ฐานเชื่อกระบวนคิด” (mindset) ของตะวันตก อาจจะโดยไม่รู้เท่าทันตนเอง
หรือ ไม่รู้ตัวก็ตาม หลายท่านอ่านพระคัมภีร์ด้วยมุมมองว่าเป็นเรื่องของเรา เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยมุมมองที่มีตัวเราเองเป็นบุคคลหลัก
ที่เป็นเช่นนี้เพราะนี่เป็นวัฒนธรรมของเราในยุคนี้ที่คิดเหมาเอาตัวเองเป็นแก่นหลัก
หรือ เป็นศูนย์กลางในทุกสิ่ง และด้วยอิทธิพลของอำนาจบาปชั่วที่แทรกตัวเข้ามาอยู่ในชีวิตความนึกคิดของเรา
ที่เข้ามามีอิทธิพลสอนและกำกับชีวิตในแต่ละวันของเรา
แต่การที่เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยวิธีนี้ทำให้เราหลงผิดคลาดเคลื่อนไปจากประเด็นหลักของพระวจนะของพระเจ้า
ที่ต้องการให้เรารู้ถึงผู้ที่ดลใจให้เขียนพระคัมภีร์นี้ การที่เราอ่านพระคัมภีร์ด้วยแว่นตามุมมองที่มี
“ตัวฉันเป็นศูนย์กลาง” ได้บดบังทับซ่อนความเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าในพระคัมภีร์
แทนที่เราควรจะอ่านพระคัมภีร์ด้วยจดจ่อมุ่งสนใจที่พระเจ้า ให้เราเข้าหาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยการมุ่งมองค้นหาสัจจะความจริงและการเปิดเผยของพระองค์
ให้เราแสวงหาว่าพระคัมภีร์สอนเราอะไรและอย่างไรบ้างเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะของพระเจ้า
พระประสงค์ของพระองค์ และวิถีทางของพระองค์ เมื่อเราทำเช่นนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเราเองด้วย แต่เป็นการเรียนรู้ตัวเราเองผ่าน
“มุมมอง” ของพระเจ้า
3. ตรงดิ่งไปหาการประยุกต์เพื่อใช้พระคัมภีร์
เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ส่วนใหญ่
เรามักตรงดิ่งไปค้นหาว่า เราจะประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ตอนนี้อย่างไร ความผิดพลาดในการอ่านพระคัมภีร์ในประเด็นนี้
มักเริ่มต้นด้วยการถามว่า “พระคัมภีร์ตอนนี้มีความหมายอะไรสำหรับฉัน?” หรือถ้าเป็นการศึกษาพระคัมภีร์ในกลุ่ม“พระคัมภีร์ตอนนี้มีความหมายอย่างไรต่อคุณ?”
เรามักจะตรงดิ่งไปค้นหาว่าพระคัมภีร์ตอนนี้จะมีผลกระทบต่อเราอย่างไร
เพื่อที่เราจะประยุกต์ใช้กับชีวิตของตนเอง อาจจะเป็นเพราะว่าเรากำลังแสวงหาว่าเราจะผ่านพ้นชีวิตในวันนี้ไปได้อย่างไร
แต่การถามคำถามแบบนี้มีแนวโน้มที่จะพาเราหลงทางได้
ด้วยความสัตย์จริง ไม่สำคัญเลยว่าพระคัมภีร์ตอนนี้มีความหมายอย่างไรต่อเรา
แต่สิ่งที่สำคัญคืออะไรที่มีความหมายสำหรับพระเจ้า เราต้องค้นให้พบความหมายรากฐานดั้งเดิมของพระคัมภีร์ก่อนที่เราจะประยุกต์ใช้พระคัมภีร์ตอนนั้น
ๆ แน่นอนครับ มีการประยุกต์พระคัมภีร์แต่ละตอนใช้ในชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด แต่มีความหมายรากฐานดั้งเดิมเพียงความหมายเดียว
พระคัมภีร์ทุกตอนมีความหมายดั้งเดิมเดียว
พระคัมภีร์แต่ละตอนมีความหมายเช่นไรเมื่อได้รับการดลใจในการบันทึกก็จะยังมีความหมายเช่นเดียวกันในวันนี้
ถ้าเราค้นไม่พบความหมายดั้งเดิมของพระคัมภีร์ตอนนั้น ๆ เราก็จะนำพระคัมภีร์ตอนนั้น
ๆ มาใช้อย่างผิด ๆ ประยุกต์พระคัมภีร์ตอนนั้นอย่างผิดเพี้ยน และอาจจะนำไปสู่การละเมิดพระวจนะของพระเจ้า
การที่เราแสวงหาความเข้าใจในพระคัมภีร์แต่ละตอน เราต้องค้นหาให้พบความหมายรากฐานด้านเดิมของพระคัมภีร์ตอนนั้น
ๆ ก่อน ซึ่งเป็นการเข้าใจลึกซึ้งในสัจจะความหมายดั้งเดิมที่พระเจ้าประทานแก่เราผ่านปลายปากกาของผู้บันทึกพระคัมภีร์ตอนนั้นตามการดลใจของพระองค์
เมื่อเราขุดลึกค้นพบถึงความหมายรากฐานดั้งเดิมของพระคัมภีร์ตอนนั้น
ๆ แล้ว เราถึงถามว่า
“พระคัมภีร์ตอนนี้มีความหมายเช่นไรสำหรับชีวิตของฉัน” ด้วยการทรงช่วยขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เราก็จะสามารถตัดสินใจได้ว่าพระเจ้าต้องการให้เราประยุกต์พระคัมภีร์ตอนนี้ใช้ในชีวิตของเราอย่างไร
พระเจ้าประสงค์ให้พระคำของพระองค์สร้างผลกระทบในชีวิตของเรา ให้กำลังใจแก่เรา ปรับเปลี่ยนชีวิตของเรา และนำเราไปถึงพระคริสต์
และ เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้เราถึงพูดได้เต็มปากว่า พระวจนะของพระเจ้ามีไว้สำหรับเรา
“พระคัมภีร์ทุกตอน หรือพระคัมภีร์ทั้งหมดได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง
และการฝึกฝนในความชอบธรรม เพื่อเตรียมคนของพระเจ้าให้พรักพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง” (2ทิโมธี 3:16-17 อมธ.)
ท่านสามารถเข้าใจพระคัมภีร์ได้
ไม่ใช่คริสตชนทุกคนที่ผ่านการเรียนในโรงเรียนพระคริสต์ธรรม
(หรือได้รับปริญญาจากพระคริสต์ธรรม) น้อยคนนักในพวกเราที่สามารถอ่านภาษาดั้งเดิมในพระคัมภีร์
แต่คริสตชนทุกคนสามารถเข้าใจถึงสัจจะความจริงของพระคัมภีร์ พระเจ้าประสงค์ให้เราแต่ละคนเข้าใจพระวจนะของพระองค์
พระองค์ได้ประทานความสามารถในการเข้าใจพระคัมภีร์ผ่านการทรงช่วยขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในตัวเรา
(1โครินธ์ 2:10-12) องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครูหรือผู้ที่สอนเรา
(ยอห์น 14:26) น่าเสียดายที่อุปสรรคใหญ่ที่สุดในการทำความเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องมักจะเป็นตัวเราเอง
อย่าให้เราหลงไปกับวิธีตีความพระคัมภีร์ที่ผิดพลาด แต่ให้เรา
อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ด้วยมุมมองที่ถูกต้องและเหมาะสม ให้เราพึ่งพิงในองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยเราให้เข้าใจและประยุกต์สัจจะความจริงของพระเจ้าใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น