วันอาทิตย์ก่อนวันคืนพระชนม์เป็นอาทิตย์ทางปาล์ม หรือ อาทิตย์โฮซันนา แต่เราแทบไม่ทราบเลยว่าในช่วงเวลาที่เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากมาย
โฮซันนาไม่ได้เป็นเพียงการโห่ร้องต้อนรับแสดงความยินดี
แต่เป็นการโห่ร้องที่ประกาศต่อสาธารณะในทางการเมืองว่าพระเยซูเป็นใคร
วันที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มในช่วงสัปดาห์ก่อนถูกตรึงและคืนพระชนม์
ฝูงชนที่มาโห่ร้องว่า โฮซันนา มิได้เพียงมาดูพระเยซู หรือ มาต้อนรับพระเยซู แต่ที่สำคัญคือเรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่มีการเผยถึงล่วงหน้ามาแล้วก่อนเป็นเวลายาวนาน
และขอตั้งข้อสังเกตว่า ในช่วงที่พระเยซูกับสาวกกำลังที่จะเข้ามายังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ได้ให้สาวกสองคนมาล่วงหน้าเข้าไปในหมู่บ้านเบ็ธฟายี
และสาวกจะพบลาและลูกลาที่นั่น แล้วให้นำมาให้พระองค์ ถ้ามีใครถามก็บอกเพียงว่าพระเยซูต้องการมัน
(มัทธิว 21:1-3) นี่แสดงชัดว่าได้มีการพูดคุยหรือประสานงานก่อนหน้านี้แล้ว
สาวกทั้งสองก็ได้พบลาอย่างที่พระเยซูบอกเขา เขาจึงนำมาให้พระองค์ พระเยซูได้ขึ้นขี่บนหลังลาเพื่อเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเหมือนผู้มีชัย
และเหตุการณ์นี้สำเร็จตามคำเผยพระวจนะ เศคาริยาห์ 9:9 ว่า จะมีกษัตริย์ทรงลาเสด็จเข้ามายังเมืองเยรูซาเล็ม
เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องราวที่สำคัญเพราะเป็นการยืนยันอีกแหล่งหนึ่งว่า
พระเยซูคริสต์คือพระเมสิยาห์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้
เมื่อพระเยซูเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม ฝูงชนต่างพากันโบกสะบัดด้วยทางปาล์ม
พร้อมกับโห่ร้องด้วยเสียงดังก้องว่า
“โฮซันนาแก่บุตรของดาวิด ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ
โฮซันนา ในที่สูงสุด” (มัทธิว 21:9 มตฐ.)
จากการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มครั้งนี้
พระเยซูได้แสดงจุดยืนทางการเมืองโดยเจตนาอย่างกล้าหาญ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าตามพระสัญญา
คำว่าโฮซันนาหมายความว่าอะไร? แล้วส่อถึงการเมืองอย่างไร?
อย่างที่กล่าวแล้วว่า
คำว่าโฮซันนามิใช่การโห่ร้องว่า “ไชโย” หรือเป็นการโห่ร้องต้อนรับพระเยซูเข้ากรุงเยรูซาเล็มเท่านั้นแน่ แต่เราสามารถมองอย่างเกี่ยวโยงถึงคำว่าโฮซันนากับเรื่องต่าง
ๆ ที่ประชาชนได้ตะโกนร้องในวันอาทิตย์นั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้การเฉลิมฉลองวันปัสกา
อันเป็นการระลึกถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่เริ่มปลดปล่อยกอบกู้อิสราเอลชนออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
ในภาษาฮีบรู “โฮซันนา”
หมายถึง “การช่วยกู้” “การปลดปล่อย” ปกติทั่วไปในภาษาอาราเมคมีความหมายถึง
“ผู้ช่วยกู้” ในภาษากรีกคำ ๆ นี้มาจากรากศัพท์ภาษาฮีบรูที่มีความหมายถึง
“โปรดได้ช่วยกู้พวกเราด้วย”
จากความหมายของโฮซันนาใน
3 ความหมายเมื่อเกี่ยวโยงกันเข้าพอประมวลได้ว่า
ประชาชนกำลังเรียกร้องให้พระเยซูคริสต์เข้ามากอบกู้พวกเขาและประกาศถึงชัยชนะหรือความรอดจากสภาพการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจโรมันในเวลานั้น
ซึ่งความหมายที่ประชาชนโห่ร้องนี้ตรงกันข้ามกับมุมมองทัศนคติของพวกผู้นำศาสนายิว
เช่น พวกปุโรหิต ธรรมาจารย์ ฟาริสี
ที่ส่วนใหญ่ต่อต้านการกระทำของพระเยซูคริสต์
การที่ประชาชนโห่ร้องโฮซันนาเช่นนี้เป็นการที่ประชาชนประกาศว่า
พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ มิเป็นเพียงการสุ่มเสี่ยงต่อการที่พวกโรมันจะมองว่านี่เป็นการกบฏต่อกรุงโรม
พวกฟาริสีเองก็ต่อต้านการกระทำและการโห่ร้องเช่นนี้ด้วย และการที่พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเช่นนี้ โดยไม่มีการต่อต้านหรือกล่าวอ้างเป็นความหมายอย่างอื่นก็เป็นการประกาศอย่างเปิดเผยและกล้าหาญของพระเยซูคริสต์ว่า
พระองค์คือพระเมสิยาห์
พวกฟาริสีไม่ยอมรับความคิดว่า
พระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ ที่นำความรอดและการปลดปล่อยและเป็นผู้กอบกู้ของยิว เหตุการณ์โฮซันนาที่เกิดขึ้นนี้จึงขัดแย้งกับความรู้สึกของฟาริสีอย่างยิ่ง
และความขัดแย้งนี้ถูกใช้ให้เป็นเป็น “ความขัดแย้งทางการเมือง” โดยฟาริสี
ในเหตุการณ์นี้ยังไม่ค่อยชี้บ่งชัดถึงความเป็นการเมืองที่ชัดแจ้งมากนัก
แต่นี่เป็นจุดเปลี่ยนของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้าที่เขาได้จับพระเยซูคริสต์ตรึงบนไม้กางเขน
แล้วฟาริสีว่าอย่างไง?
ก่อนหน้านี้ในมัทธิว
บทที่ 23 พระเยซูได้กล่าววิพากษ์ถึงพวกธรรมาจารย์
และ ฟาริสี ที่เป็นคนสอนอย่างแต่ตนกลับประพฤติอีกอย่าง เป็นพวกที่บ้ายศ-งกตำแหน่ง ชอบอยู่ในที่โดดเด่นเพื่อได้รับการยกย่อง
พระเยซูตราหน้าพวกนี้ว่า เป็นคนหน้าซื่อใจคด สิ่งเหล่านี้ย่อมสร้างความไม่พอใจและการผูกใจเจ็บที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีมีต่อพระเยซูคริสต์
ในเหตุการณ์โฮซันนานี้เอง
ที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีได้ที่โยงเอาเหตุการณ์นี้มาอ้างอิงว่า
การที่พระเยซูคริสต์ปล่อยให้ประชาชนโห่ร้องเช่นนี้ เป็นการที่ทำให้พวกโรมันมาบุกทำร้ายและทำลายประชาชนยิวได้
ในอีกด้านหนึ่งที่พวกเขาพยายามจะปราบพระเยซูให้สิ้นฤทธิ์หมดอิทธิพลในหมู่ประชาชนด้วยการเอาใจมหาอำนาจโรมันที่ปกครองเหนือตน
และหวังที่จะใช้มือของมหาอำนาจโรมันฆ่าพระเยซูเสีย ในมัทธิว 26:3-4 และนี่คือการเมืองในองค์กรศาสนามิใช่หรือ?
แล้วโรมันมองและพูดถึงพระเยซูอย่างไร?
ในช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์มีชีวิตในโลกนี้ จักรวรรดิโรมันเป็นมหาอำนาจในตอนนั้น พวกประชาชนยิวเชื่อว่า
พระเมสิยาห์จะมานำกองทัพปลอดปล่อยพวกเขาออกจากแอกของโรมัน
พระเมสิยาห์จะปลดปล่อยชนอิสราเอลให้มีเสรีอีกครั้งหนึ่ง และนี่คือฐานเชื่อกระบวนคิดเกี่ยวกับพระเมสิยาห์ของพวกยิวในเวลานั้น
แต่พระเยซูคริสต์มิได้มาเพียงปลดปล่อยพวกยิวเท่านั้น พระองค์กอบกู้ให้มนุษยชาติหลุดรอดออกจากอำนาจที่ชั่วทั้งเผด็จการมหาอำนาจ และ ความฉ้อฉล งก เงี่ยน
ของพวกผู้นำในองค์กรศาสนาและการเมืองยิว
จากยอห์น บทที่ 19
ปีลาตผู้มาปกครองยิวในเวลานั้นเห็นว่าพระเยซูคริสต์ไม่มีความผิดฐานการเมืองอย่างที่พวกผู้นำศาสนายิวกล่าวหา
คิดจะปล่อยพระเยซู ทันทีที่พวกผู้นำศาสนายิวรู้
ได้ต่อต้านการปล่อยพระเยซู และขู่ว่าจะส่งคำร้องฟ้องไปที่พระมหาจักรพรรดิซีซาร์ที่โรม
ทำให้ปีลาตต้องหยุดความคิดของตนเพราะกลัวจะถูกฟ้องไปยังส่วนกลาง “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์
ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์” (ยอห์น 19:12 มตฐ.)
ผลสุดท้ายเป็นเช่นไร?
การเมืองในคราบของนักการศาสนา
และระบบการเมืองในองค์กรศาสนานำมาถึงหายนะจุดจบที่ทุกคนคาดไม่ถึง
(ยกเว้นพระเยซู) และ
ไม่มีใครรู้ว่าที่มันจบลงเช่นนี้เพราะ “หนอนบ่อนไส้”
คนหนึ่งในกลุ่มสาวกพระเยซูคริสต์เอง
ที่เป็นคน “ฉ้อฉล งกเงิน เงี่ยนชื่อเสียงและอำนาจ”
ยอมทรยศหักหลังขายพระอาจารย์ของตนแก่พวกผู้นำศาสนายิว และนี่คืออิทธิพลของการเมืองสกปรกที่แผ่เข้ามายังองค์กรศาสนา
และ สาวกของพระเยซูคริสต์อย่างยูดาส
แล้วเรายังจะมีการเฉลิมฉลองอาทิตย์โฮซันนาอีกหรือ?
เมื่อพระเยซูคริสต์มีชีวิตบนโลกนี้
พระองค์สื่อสาร สั่งสอน เยียวยารักษา
ขับอำนาจชั่วร้าย เชื่อสัมพันธ์ความฉีกขาดในสังคม ใช้ชีวิตกับคนยากไร้ คนนอกคอก
คนที่ถูกตีตราและผลักไสออกจากสังคม พระองค์ใช้ชีวิตด้วยการให้ชีวิตเพื่อคนอื่นจะได้ชีวิตใหม่
พระองค์ยืนหยัดเผชิญหน้ากับพวกผู้นำศาสนายิว แต่กลับรักเมตตาอยู่เคียงข้างคนต่ำต้อยด้อยค่า
และ คนที่ถูกตราหน้าว่าบาปหนาในสังคมอย่างไม่กลัวที่ตัวเองจะถูกแปดเปื้อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น