ลึก ๆ ในใจแล้ว ผมเองรู้สึกลำบากใจ หรือ ลังเลใจที่จะนำเสนอข้อเขียนนี้ เพราะเกรงว่าจะมีบางลักษณะที่มีในตัวผมเอง แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว คงจะมีประโยชน์บ้างเพราะในยุคนี้แนวโน้มผู้นำคริสตชนที่จะมีลักษณะที่อ่อนแอแบบอยู่ในภาวะ “ขาลง” เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นภัยอันตรายต่อตัวผู้นำเองและที่สำคัญต่อชีวิตชุมชนของคริสตจักรด้วย บุคลิกลักษณะของผู้นำคริสตชน “ขาลง”มี ดังนี้
1. เขานำด้วยกำลังของตนเอง
แทนพระกำลังจากพระเจ้า
เขาอาจจะใช้คำว่า
“กำลังจากพระเจ้า” แต่โดยเนื้อแท้แล้ว เขาอยู่และนำด้วยกำลังความสามารถของเขาเอง
ดังนั้น เขาทำงานได้น้อยนิดเพราะงานที่เขารับผิดชอบไม่สามารถทำได้ด้วยกำลังความสามารถของเขาเอง
2.
เขาทำการ “จัดการ” แทนที่จะ “นำ”
เขาไม่ได้แสวงหาหรือตกผลึกวิสัยทัศน์/นิมิตในงานที่ทำ
เขาไม่สามารถบอกอย่างชัดเจนถึงความเชื่อของเขาว่าคริสตจักรของตน หรือ
องค์กรของตนจะมีชีวิตเช่นไรในอีก 3-5 ปีข้างหน้า งานส่วนใหญ่ที่เขาทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการประสานจัดการในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
3.
เขาอธิษฐานแบบเชิงรับ
ไม่ใช่นักอธิษฐานเชิงรุก
แท้จริงแล้ว พวกเขามิใช่นักรบด้วยการอธิษฐาน แนวโน้มของผู้นำกลุ่มนี้มักจะเริ่มต้นด้วยการวางแผน
แล้วทูลขอพระเจ้าได้โปรดอวยพระพรแผนงานที่เขาได้กำหนด ผู้นำกลุ่มนี้ไม่ค่อยแสวงหาพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์ก่อน
แล้วติดตามการทรงนำของพระเจ้า
แต่กลับขอพระเจ้ารับรองอวยพรแผนงานของเขาเอง
4.
เขานำองค์กร แต่ไม่นำครอบครัวของตนเอง
พวกเขาดูเหมือนว่าเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ในคริสตจักร
(เมื่อยืนอยู่บนเวที หรือ ธรรมมาสน์) แต่ในเวลาเดียวกันเขากลับล้มเหลว
หรือ สูญเสียชีวิตครอบครัวของตน ภายนอกดูเหมือนว่า
เขานำองค์กรได้ดี แต่ในครอบครัวของเขามีแต่ความยุ่งยากโกลาหล
5.
เขาเป็นนักผจญเพลิง มากกว่าผู้จุดไฟแห่งแสงสว่าง
งานส่วนใหญ่ของผู้นำกลุ่มนี้คือการตอบสนองต่อไฟปัญหาที่กำลังลุกไหม้ ผู้นำประเภทนี้จะทำงานแก้ไขรับมือความยุ่งยากเฉพาะหน้า
ฐานคิดของเขาคือดับไฟปัญหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยเพื่อไม่ให้เกิดเป็นไฟปัญหาลุกลามใหญ่โต
เขามักมองหาไฟแห่งความขัดแย้งจนไม่มีเวลา โอกาส หรือกำลังที่จะใส่ใจ
“จุดไฟชีวิตแห่งการนมัสการพระเจ้า” และ “ไฟแห่งชีวิตในการประกาศพระกิตติคุณ”
ท่ามกลางสมาชิกในคริสตจักร
6.
เขานำโดยบารมีมากกว่านำด้วยการยอมอุทิศเสียสละ
บนเวที
บนธรรมมาสน์เขาดูเก่ง แต่ในส่วนลึกแล้วไม่ว่าการพูดหรือการกระทำเป็นการ
“ตายเพื่อตนเอง” “ทำเพื่อตนเอง”
ผู้นำกลุ่มนี้ชอบอยู่บนเวที แต่ไม่ชอบที่จะอยู่บนแท่นบูชา
7.
เขาพูดเรื่องพระกิตติคุณในวันอาทิตย์ แต่พูดตลกโปกฮาไร้สาระ (เอเฟซัส 5:4) ในวันอื่น ๆ
ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวในรูปแบบที่พวกเขาจะไม่พูดจากธรรมาสน์
8.
เขาบอกให้คนอื่นออกไปประกาศพระกิตติคุณ
แต่ตนคาดหวังว่าคนที่หลงหายจะเข้ามาหาตนเอง
ผู้นำพวกนี้จะผลักดันให้คนอื่นออกไปและเข้าถึงเพื่อนและเพื่อนบ้านของตน
แต่ผู้นำพวกนี้จะประกาศพระกิตติคุณจากธรรมมาสน์ หรือ
ในสำนักงานที่คริสตจักรเท่านั้น เขารอให้ผู้ที่ยังไม่เชื่อเป็นฝ่ายริเริ่มเข้ามาหาตน
9.
เขาเรียกร้องและสั่งสอนให้คนของตนยอมเสียสละ
ในขณะที่เขาเองยอมลงแรงแต่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการรับผิดชอบต่อการใช้เวลา
ในขณะที่สมาชิก และ คนอื่น ๆ มีคำถามในใจว่า ผู้นำของเขาใช้เวลาอย่างไรในงานรับใช้
10.
เขาไวในการตระหนักรู้เท่าทันถึงความบาปผิดของคนอื่น แต่มักด้านชาไม่ค่อยตระหนักรู้ทันถึงความบาปผิดของตนเอง
ผู้นำกลุ่มนี้มักมองข้ามชีวิตที่ผิดพลาดของตนเอง
และพวกเขาไม่ใส่ใจต่อการกระทำของตนที่คนอื่นมองเห็น ทั้งนี้อาจจะเกิดจากความหยิ่งผยอง
หรือ การไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายต่อภาวการณ์ผู้นำของเขา
11.
พระคัมภีร์เป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับการเทศนาของเขา
แต่มิใช่แหล่งแห่งชีวิตของเขา
นอกจากการเตรียมคำเทศนา
ด้านท่าที อุปนิสัยทางจิตวิญญาณของพวกเขาชี้ให้เห็นว่าพระคำมีความหมายเพียงเล็กน้อยสำหรับพวกเขา
บางครั้งถูกลดทอนลงเหลือแค่ส่วนหนึ่งในการทำงานเพื่อดำรงชีพของตนเองท่านั้น?
ท่านผู้นำครับ
เรามีลักษณะเหมือนในข้อใดข้างบนนี้บ้างครับ? ถ้ามี
ขอเราใช้เวลากับองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอการทรงช่วย และ ชี้นำจากพระองค์ และ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น