ท่านเคยถามตนเองไหมว่า...
ทำไมเราไม่ได้รับพระพร
ทำไมพระเจ้าไม่อวยพระพรแก่เรา? และข้างล่างนี้เป็นสาเหตุบางประการ หรือ
สิ่งที่ขวางทางแห่งพระพรที่มาในชีวิตของเรา
(1)
ชีวิตที่ไม่เป็นพระพร
พระเยซูบอกว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้ให้
การให้นั้นจะกลับมาตอบสนองคน ๆ นั้น และจะตอบสนองกลับที่เพิ่มพูน แบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตัก
พระองค์ตรัสในหลักการเหตุที่ทำให้เกิดผล
“เพียงท่านให้ ท่านก็จะได้รับ” และยิ่งกว่านั้นเป็นการให้กลับ
“แบบแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน” เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร
ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน (ลูกา 6:38) ท่านอย่าคาดหวังที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า
ถ้าชีวิตท่านยังไม่เป็นพรตามพระประสงค์ของพระองค์
การที่เราไม่มีชีวิตที่เป็นพระพร เราจึงเป็นผู้ขวางทางพระพรในชีวิตของตน
(2)
ชีวิตที่ไม่ให้การยกโทษ
เรารู้อยู่เต็มอกว่า
ถ้าเราไม่ยกโทษแก่คนอื่น พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษแก่เรา ดังนั้น
ถ้าเรามีเรื่องขุ่นข้องหมองใจขัดแย้งกับใครบางคน สิ่งนั้นก็จะเป็นที่สิ่งขัดขวางในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
การที่เราไม่ยอมยกโทษแก่คนอื่นก็เปรียบได้กับการที่เราตัดสินใจดื่มยาพิษแล้วคาดหวังว่าคู่กรณีของเราจะต้องเสียชีวิตเพราะยาพิษที่เราดื่ม
ถ้าเราเมินเฉยละเลยไม่ตรวจสอบขุดค้นหาถึงการไม่ยกโทษในชีวิตของเรา
การไม่ยกโทษนั้นก็จะหยั่งรากลึกจนเติบใหญ่แข็งแรงเป็น “รากแห่งความขมขื่น” และจะสร้างปัญหาชีวิตมากมาย
หลายด้าน รุนแรงขึ้น และเกิดผลกระทบต่อหลายคน (ฮีบรู 12:15)
เพราะเราไม่ได้ยกโทษคนอื่นเราจึงเป็นผู้ขวางทางพระพรในชีวิตของตน
(3)
ชีวิตที่มีแต่ความไม่พอใจ
ในชีวิตประจำวันของเรา
เราคงต้องเลือกที่จะมีชีวิตอยู่ด้วย “ความพอใจ” หรือ “ความไม่พอใจ” การที่เรามีชีวิตอยู่ด้วย “ความพอใจ”
มักนำเราไปถึงความสุข และการที่มีชีวิตอยู่ด้วยความไม่พอใจ ความขุ่นอกหมองใจ
มักนำไปถึงซึ่งความทุกข์ในชีวิต พระคัมภีร์สอนไว้ว่า
“...การอยู่ในทางพระเจ้าพร้อมกับมีความพอใจก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง” (1ทิโมธี
6:6 มตฐ.) แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นจริงในชีวิตของเราอย่างง่ายดาย
แต่เป็นสิ่งที่จะต้องค่อย ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
ไม่ว่าจะต้องประสบกับภัยอันตราย การกันดารอาหาร ความอดอยาก ความหนาวเหน็บ
การถูกทำร้าย การถูกเอาหินขว้างปา และการถูกจำคุก
บางครั้งเกือบเอาชีวิตไม่รอด
แม้ต้องประสบกับสถานการณ์ชีวิตที่เป็นดังที่กล่าว เปาโลบอกว่า
“ท่านพอใจในสถานการณ์ชีวิตนั้น”
ที่จะเสริมสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา เปาโลกล่าวไว้ว่า
“เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร”
(ฟีลิปปี 6:11)
แล้วท่านละ
ท่านได้เรียนรู้ถึงการที่จะมีชีวิตที่พอใจในทุกสถานการณ์อย่างไรบ้าง? ท่านต้องพบและปฏิบัติในสถานการณ์นั้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนหล่อหลอมตกผลึกเป็นความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ชีวิต
เพราะชีวิตที่มีแต่ความไม่พึงพอใจ
เราจึงเป็นผู้ขวางทางแห่งพระพรในชีวิตของตน
(4)
ความบาปที่ไม่ได้สารภาพ
ผมไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่า
ทำไมการสารภาพถึงความบาปผิดของตนต่อพระเจ้าถึงเป็นเรื่องที่ยากหนักหนา พระเจ้าจะไม่อวยพระพรแก่คนที่ยังตัดสินใจมีชีวิตจมจ่อมในหลุมโคลนแห่งความบาป โดยที่ยังไม่ได้สารภาพความบาปผิดของตน ในพระธรรมสดุดีบันทึกไว้ว่า “หากข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าคงจะไม่ทรงสดับฟัง”
(66:18 อมธ.) เมื่อ “คนที่ปิดหูไม่ยอมฟังคำสั่งสอน(ธรรมบัญญัติ) แม้แต่คำอธิษฐานของเขาก็น่าชิงชัง”
(สุภาษิต 28:9 อมธ.)
ทำไมถึงไม่ยอมสารภาพความบาปผิดของตนเสียเดี๋ยวนี้ เพราะ
“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1ยอห์น 1:9 มตฐ.)
เพราะเราไม่สารภาพความบาปชั่วของเราต่อพระเจ้า
เราจึงเป็นผู้ขวางทางพระพรในชีวิตของตน
(5)
ชีวิตที่ไม่สำแดงพระคุณ และ ความจริง
พระเยซูคริสต์สอนเราว่า
เราต้องนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง (ยอห์น 4:24) เป็นการสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะนมัสการพระเจ้าตามที่พระคัมภีร์เปิดเผยแก่เรา
พระเยซูคริสต์ผู้เต็มล้นด้วยพระคุณและความจริง (ยอห์น 1:14) ในพระคริสต์พระองค์มีความสมดุลลงตัวว่า พระองค์พูดด้วยสัจจะความจริง และพระองค์รู้ชัดว่าเวลาใดที่จะต้องพูดด้วยพระคุณ
บางครั้งพระองค์พูดด้วยสัจจะความจริงกับพวกฟาริสี แต่ในเวลาที่หญิงคนนั้นถูกจับได้ในการล่วงประเวณีพระองค์รู้ว่าเธอต้องการได้ยินถึงสัจจะความจริงที่เป็นพระคุณของพระเจ้า
ถ้าเรามีเพียงสัจจะเท่านั้น
เราก็กลายเป็นพวกบัญญัตินิยม แต่ถ้าเรามีเพียงพระคุณเท่านั้น ก็เป็นเหมือนผู้เปิดทางให้คนกระทำบาปผิด
แต่ถ้าเวลาใดที่เรามีทั้งสัจจะความจริงและพระคุณ เราจะไม่ขวางทางแห่งพระพรของพระเจ้า
เพราะชีวิตของเรามิได้สำแดงความจริงที่เปี่ยมด้วยพระคุณ เราจึงเป็นผู้ขวางทางพระพรในชีวิตของตน
ภาพใหญ่ตัวขวางพระพรในชีวิตของเรา
ท่านอาจจะคิดถึงวิธีการ
หรือ แนวทางอื่นที่ชีวิตเราเองกลายเป็นตัวขวางทางพระพรที่พระเจ้าประทานแก่เรา แต่สิ่งที่แน่นอนคือ
“พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ” (ยากอบ 4:6
มตฐ.) ดังนั้นความหยิ่งผยองสามารถที่จะขวางทางแห่งพระพรของพระเจ้า เช่นเดียวกับการที่ไม่ให้การยกโทษ ความไม่พึงพอใจ
ไม่สารภาพความบาปผิดที่มีในชีวิตต่อพระเจ้า และชีวิตมิได้สำแดงออกถึงพระคุณพระเจ้าทั้งการพูดและกระทำในสิ่งที่เป็นสัจจะความจริง
ซึ่งในความจริง ทั้งการมีสัจจะความจริงในชีวิตและพระคุณของพระเจ้าต้องมีควบคู่สอดรับกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น