21 ธันวาคม 2554

จากสงสัยสู่สรรเสริญ

เตรียมรับเสด็จพระคริสต์ภายในชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทย

อ่านลูกา 1:5-23

ทูตนั้นกล่าวกับเขา(เศคาริยาห์)ว่า “เศคาริยาห์เอ๋ยอย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของท่านแล้ว เอลีซาเบธภรรยาของท่านจะคลอดบุตรชาย...เขาจะยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า...เขาจะเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์...เขาจะนำอิสราเอล...กลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า...เขาจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า...”

เศคาริยาห์ถามทูตนั้นว่า “ข้าพเจ้าจะแน่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ตัวข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว”
ทูตนั้นตอบว่า “เราคือกาเบรียล...พระเจ้าทรงใช้เรามาพูดกับท่านและให้บอกข่าวดีนี้แก่ท่าน บัดนี้ท่านจะเป็นใบ้ตราบจนวันที่สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะท่านไม่เชื่อคำของเราซึ่งจะเป็นจริงเมื่อถึงเวลากำหนด”
(ลูกา 1:13-19 อมตธรรม)

ในสังคมโลกที่มีแต่ความสับสนวุ่นวาย ในความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดความเครียดและสงสัย มีผลทำให้คนจำนวนมากในปัจจุบันที่มองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแง่ร้ายแง่ลบ และผมเองก็ใช่ว่าจะหลุดรอดจากผลกระทบเช่นว่านี้ได้ แต่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย คริสตชนค่อยๆ เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงมีแผนการในการเสริมสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นแก่เราท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้ายนั้น

แม้จะเป็นผู้ที่เชื่อศรัทธามั่นคงในพระเจ้าก็ตาม แต่ประสบการณ์ที่ติดลบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงในชีวิต หรือเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องย่อมสร้างผลกระทบให้เกิดมุมมอง หรือ ทัศนคติที่ติดลบได้อย่างมาก และที่น่าหวั่นกลัวคือมันเกิดขึ้นในตัวตนของเราโดยที่เราไม่รู้เท่าทัน และมีผลต่อความเชื่อศรัทธาของเราอีกด้วย

หมอลูกาบันทึกรายละเอียดไว้ว่า ทั้งคู่คือเศคาริยาห์และเอลีซาเบธเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า ยึดถือบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่ติ (ลูกา1:6 อมตธรรม) และหมอลูกายังบอกอีกว่า แต่ทั้งสองไม่มีบุตร เพราะเอลีซาเบธเป็นหมัน และทั้งสองก็ชราแล้ว หมอลูกาบอกสองเงื่อนไขใหญ่ที่แน่นอนชัดเจนว่าทั้งสองจะไม่มีบุตรได้เลยคือ ฝ่ายหญิงเป็นหมัน และขณะนี้อายุก็แก่ชราเกินวัยที่จะสามารถมีบุตรแล้ว

เศคาริยาห์ และ เอลีซาเบธ ได้ทูลขอบุตรจากพระเป็นเจ้าอย่างแน่นอน และจะต้องเป็นการทูลขออย่างยาวนาน จากคำกล่าวของทูตกาเบรียลที่แจ้งข่าวการตั้งครรภ์และมีบุตรของเอลีซาเบธกล่าวว่า “...พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของท่านแล้ว...”(ข้อ 13) และทั้งสองต้องทูลขอบุตรจากพระเจ้า เพราะในวัฒนธรรมและความเชื่อของคนยิวมองว่าถ้าสามีภรรยาคู่ไหนไม่มีบุตรแสดงว่าไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าและไม่ได้รับพระพรจากพระองค์ จนถึงขนาดที่มองว่าเป็นสิ่งที่น่าอดสู เมื่อเศคาริยาห์หมดหน้าที่ในพระวิหารกลับบ้าน เอลีซาเบธตั้งครรภ์นางเก็บตัวถึง 5 เดือน นางกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการนี้เพื่อข้าพเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงสำแดงความโปรดปรานและทรงขจัดความอดสูของข้าพเจ้าในหมู่ผู้คนไป” (ข้อ 25 อมตธรรม) เป็นที่ประจักษ์แน่นอนแล้วว่าทั้งเศคาริยาห์และเอลีซาเบธได้ทูลขอบุตรจากพระเจ้าแน่นอน

การทูลขอบุตรมาอย่างยาวนาน จนทั้งสองอาจจะคิดว่าคงไม่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ตนมีบุตร และก็หมดเวลาของการที่จะมีบุตรแล้วเนื่องด้วยสังขาร จนเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องการมีบุตร แต่จู่ๆ วันหนึ่งทูตสวรรค์มาแจ้งให้ทราบว่าภรรยาของเขาจะตั้งครรภ์และมีบุตรชาย และก็ไม่ใช่บุตรชายธรรมดา แต่เป็นบุตรชายที่จะ “เปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์...นำอิสราเอลกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า...นำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยจิตใจและฤทธิ์อำนาจของเอลียาห์...และเตรียมชนชาติหนึ่งไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า”(1:15-17) นี่มันยิ่งกว่าข่าวดีเสียอีก!

เศคาริยาห์ถามทูตสวรรค์อย่างเปิดใจและถามแบบตรงไปตรงมาว่า “ข้าพเจ้าจะแน่ใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ตัวข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว” เศคาริยาห์ต้องการความมั่นใจ ใช่เขาสงสัย เขาจะเชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทูตกาเบรียลว่าเป็นข่าวดีนี้จะเป็นข่าวที่เป็นจริงอย่างที่แจ้ง เป็นเหมือนขอหลักฐาน ขอเหตุผล ขอหมายสำคัญ และสิ่งที่เศคาริยาห์ได้รับคือ เขาเป็นใบ้พูดไม่ได้ตั้งแต่เวลานั้นจนถึงวันที่บุตรกำเนิด

ตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนถึงเป็นผู้ใหญ่และเข้าสู่วัยผู้สูงอายุพบว่า คริสตชนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการที่เศคาริยาห์ไม่เชื่อหรือสงสัยข่าวดีจากพระเจ้าที่กาเบรียลนำมาแจ้งดังนั้นเขาจึงต้องเป็นใบ้ มักเข้าใจว่าเป็นเหมือนการถูกลงโทษจากพระเจ้า จริงอยู่การตอบสนองพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเศคาริยาห์นั้นแตกต่างจากมารีย์ที่เมื่อรู้ว่านี่เป็นพระประสงค์และแผนการของพระเจ้าจึงยอมตนรับเอาพระประสงค์ดังกล่าว “...ขอให้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าตามที่ท่านกล่าวเถิด”(1:38) แต่เศคาริยาห์ถามหาความมั่นใจ ถามหาหมายสำคัญเครื่องยืนยัน และพระเจ้าทรงให้การเป็นใบ้เป็นหมายสำคัญ ทั้งเศคาริยาห์ และ เอลีซาเบธต่างมั่นใจในแผนการของพระเจ้าครั้งนี้เพราะได้รับหมายสำคัญคือเศคาริยาห์เป็นใบ้ และคนทั้งหลายที่อยู่นอกพระวิหารเมื่อเห็นเศคาริยาห์เป็นใบ้ก็ตระหนักรู้ได้ว่าเศคาริยาห์ได้เห็นนิมิต สำหรับผมแล้วเห็นว่าการเป็นใบ้นอกจากทำให้คนทั้งหลายรู้ว่านี่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว เศคาริยาห์ไม่ต้องตอบคำถามอีกหลายๆ คำถามที่เขายากที่จะหาคำตอบมาให้ผู้ถามได้

น่าสังเกตว่า แม้มนุษย์จะขาดความเชื่อ มนุษย์เกิดความสงสัย ไม่มั่นใจในพระประสงค์และแผนการของพระเจ้า สิ่งนี้ไม่สามารถขัดขวางหรือหยุดพระราชกิจของพระองค์ได้ ท่ามกลางอุปสรรค ปัญหา สิ่งกีดขวางพระเจ้าทรงกระทำ “ข่าวดี” ที่เป็นพระราชกิจของพระองค์ให้เกิดขึ้นดำเนินต่อไป ท่ามกลางความไม่เชื่อและสงสัยพระเจ้าทรงอดทนและกระทำกิจของพระองค์เพื่อคนของพระองค์จะได้มีความเชื่อและเติบโตขึ้นในพระคุณของพระองค์เฉกเช่นเศคาริยาห์และเอลีซาเบธ และเมื่อครบเวลากำหนดของพระเจ้า เอลีซาเบธคลอดบุตร เศคาริยาห์หายใบ้พูดได้ สิ่งแรกที่เศคาริยาห์ทำคือ “เขาก็เริ่มกล่าวสรรเสริญพระเจ้า”(ข้อ 64) และเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพยากรณ์ (ดูข้อ 67-79)

เนื่องจากการเป็นใบ้ของเศคาริยาห์เมื่อออกมาจากพระวิหารไม่สามารถพูดกับประชาชน คนทั้งหลายจึงตระหนักว่าเศคาริยาห์ได้เห็นนิมิตในพระวิหาร(ข้อ 22) และเมื่อวันที่เอลีซาเบธคลอดบุตรชายแล้วเศคาริยาห์กลับพูดได้ หมอลูกาบันทึกไว้ว่า “เพื่อนบ้านของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและผู้คนพากันโจษจันเรื่องนี้ทั่วแดนเทือกเขาแห่งยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็ประหลาดใจและถามกันว่า “ต่อไปทารกนี้จะเป็นอย่างไรหนอ” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา” (ข้อ 65-66 อมตธรรม) ท่ามกลางสถานการณ์ในสายตาของเราท่านอาจจะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เลวร้าย เป็นการลงโทษจากพระเจ้า แต่ท้ายสุดกลับพบว่านั่นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำสิ่งดียิ่งใหญ่แก่มนุษย์

ประเด็นสำหรับการใคร่ครวญและอภิปราย

ให้เราลองทบทวนความทรงจำของเราว่า

1. ที่ผ่านมาเมื่อชีวิตของเราต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เลวร้าย เหตุร้าย หรือ ความทุกข์ยากที่เราไม่คาดคิด สิ่งแรกที่ท่านตอบสนองในเวลานั้นคืออะไร?
  • บ่น ต่อว่า?
  • หาทางแก้ตัว?
  • หาแพะมารับผิด? หรือ
  • อวดอ้างมั่นใจว่าตนเองสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างสบาย? หรือ
  • กล่าวโทษโชคชะตาที่เลวร้าย?

2. ในที่สุดเหตุการณ์นั้น(ของท่าน)ลงเอยเช่นไร?
  • ในเหตุการณ์นั้นช่วยให้ท่านและคนรอบข้างเห็นถึงพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าหรือไม่?
  • เห็นถึงพระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าหรือเปล่า?
  • จบลงด้วยการสรรเสริญจากปากของท่านหรือไม่?

ใคร่ครวญภาวนา


ข้าแต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาคุณ
เมื่อข้าพระองค์จะต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่สงสัยไม่มั่นใจอย่างเศคาริยาห์
ขอโปรดเมตตาข้าพระองค์อย่างที่ทรงเมตตาเศคาริยาห์
ขอโปรดประทานความมั่นใจ เวลาที่จะสงบ และการไตร่ตรองใคร่ครวญ
ขอโปรดประทานความอดทนในการรอคอยให้ถึงเวลาที่พระองค์กำหนด
เพื่อเมื่อถึงเวลานั้น ข้าพระองค์จะได้สรรเสริญพระองค์จากก้นบึ้งแห่งจิตใจและประสบการณ์ชีวิต

โปรดเปิดตาของข้าพระองค์ให้เห็นถึงสิ่งดีที่ทรงประทานในสถานการณ์ที่เลวร้าย
โปรดเปิดใจของข้าพระองค์ที่จะยอมรับเอาพระประสงค์ แผนการ และพระราชกิจที่ทรงกระทำ
โปรดเปิดชีวิตทั้งสิ้นของข้าพระองค์ที่จะไว้วางใจในการทรงนำ และ การทรงครอบครองของพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะเปิดปากสรรเสริญพระองค์จากทั้งสิ้นในชีวิตของข้าพระองค์

องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์
โปรดเสด็จเข้ามาในชีวิตข้าพระองค์
โปรดทรงสร้างข้าพระองค์ใหม่ให้เป็นของพระองค์
ให้เป็นคนที่พระองค์ประสงค์ และมีชีวิตตามแผนการของพระองค์

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
089-2628-310

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น